ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: 0871937157
พื้นฐานของความรอด
เล่ม 2 ใน 4 เล่ม
พื้นฐานของความรอด
ทบทวนบทเรียนที่ผ่านมา บทที่ 2
บทเรียนที่แล้วมาเราเริ่มด้วยคำพูดที่ว่าเราจะมองสิ่งต่าง ๆ ตามวิธีการหรือมุมมองอย่างพระเจ้า เราคงจำได้ว่าเวลาพระเจ้าทรงมองดูชีวิตเรา พระองค์จะทรงมองดูที่จิตใจ ทรงมองสิ่งที่อยู่ภายใน จิตใจคนนั้นมีแต่ความหลอกลวงจนแม้แต่เจ้าของก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร แต่ถ้าคุณอยากรู้จักมัน อยากรู้ว่าพระเจ้าทรงมองสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งตัวคุณเองอย่างไร พระวจนะของพระเจ้าคือที่ที่คุณจะหาคำตอบได้
วันหนึ่งเราทั้งหลายก็จะต้องยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า และทูลตอบเรื่องราวของตัวเองต่อพระองค์ เราต้องทูลทุกอย่างที่เราเคยทำ เคยพูด เคยคิดต่อพระองค์ จากนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโทษเรา พระองค์จะทรงพิพากษาตัดสินเราตามความจริง ซึ่งตามพระคัมภีร์นั้นเราทราบว่ามีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นการเข้าถึงคำสอนในพระคัมภีร์จึงหมายถึง การได้ตรวจสอบชีวิตตนเองกับหนังสือคู่มือที่พระเจ้าทรงใช้พิพากษาตัดสินชีวิตของเราในวันหนึ่งข้างหน้านั่นเอง การเรียนรู้พระคัมภีร์คือการยอมให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นแสงสว่างส่องให้เห็นถึงชีวิตของเราเอง
ถ้อยคำ และเนื้อหาในพระคัมภีร์ที่มีผู้เรียบเรียงไว้นั่นเองที่ทำให้เรารู้ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า และเป็นความจริงซึ่งจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงมอบธรรมบัญญัติของพระองค์แก่เรา เพื่อให้เรารู้ถึงสิ่งที่พระองค์ปรารถนาจะให้เราทำในชีวิตของเรา ในพันธ
สัญญาเดิมมีพระบัญญัติทั้งหมด 613 ข้อ และทั้งหมด
นี้สรุปเป็นพระบัญญัติสิบประการคือ
1. อย่ามีพระอื่นใดนอกเหนือจากเรา แต่ไม่มีใครเลยในพวกเราสักคนที่อาจกล่าวได้ว่าดำเนินชีวิตด้วยความรัก ยกย่องให้เกียรติและเคารพนับถือพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ เรามักจะใช้ชีวิตตามใจตนเอง ตามวิธีการของตัวเอง และมักทำสิ่งที่เราอยากทำ
2. อย่าทำรูปเคารพสลักสำหรับตนเป็นรูปสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนบางคนอาจจะไม่นับถือกราบไหว้รูปเคารพ แต่พระคัมภีร์พูดถึงพระเจ้าหรือรูปเคารพที่คนคิดให้เป็นไปตามใจของตัวเอง พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจว่าพระเจ้าจะต้องเป็นอย่างนี้ หรืออย่างนั้น ที่เป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะว่า เขาอยากจะได้พระเจ้าแบบ
คนใจดี มีความเมตตากรุณามากเสียจนไม่สนใจว่ามนุษย์จะทำผิดทำบาปแค่ไหน พระเจ้าของเขาจึงเป็นพระเจ้าที่ประทาน
ทุกอย่างให้ตามใจปรารถนาของเขา แต่พระเจ้าในพระคัมภีร์ไม่ใช่อย่างนั้น และตัวคุณเองก็ไม่ผิดอะไรกับคนเหล่านี้ ถึงแม้
จะรู้และเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างไร บางครั้งคุณก็ทำผิดพระบัญญัติประการที่ 2 นี้เหมือนกัน เมื่อคุณกำหนดตามใจคุณเองว่า พระเจ้าต้องเป็นอย่างโน้นหรือต้องทำอย่างนี้ตามที่ใจคุณปรารถนา
3. อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอย่างไร้ประโยชน์ เรื่องนี้รวมถึงการใช้พระนามในคำด่าทอและอะไร ๆ อื่น ๆ ที่แย่ไปกว่านี้ คำว่าไร้ประโยชน์หมายความว่า ปราศจากความสำคัญ เปล่าประโยชน์ การออกพระนามอย่างไร้ประโยชน์จึงหมายความว่า เอ่ยพระนามขึ้นมาแบบพล่อย ๆ ไม่มีความหมาย ไม่คิดอะไรเลย สักแต่ว่าพูดพระนามออกมาเท่านั้น
4. จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ พระบัญญัติประการนี้พูดถึงเวลาที่เราอยู่กับพระเจ้าในแต่ละอาทิตย์ หมายความว่าเราต้องใช้เวลากับพระองค์มากกว่าเวลาแค่ชั่วโมง หรือสองชั่วโมงตอนเช้าวันอาทิตย์ พวกเราส่วนใหญ่จัดตาราง
เวลาไว้ทำโน่นทำนี่ตลอดอาทิตย์ แต่ในนั้นเราไม่ได้จัดเวลาไว้สำหรับพระเจ้าเลย ยกเว้นก็แต่วันอาทิตย์สักชั่วโมงหนึ่ง แต่ขนาดนั้นเมื่อเรานั่งอยู่ในโบสถ์ใจเราก็ไม่ได้จดจ่ออยู่ที่พระองค์ แต่คิดไปถึงอะไรต่ออะไรร้อยแปด ใจเราไม่ได้ถวายพระเกียรติ
แก่พระองค์เท่าที่พระองค์ทรงสมควรได้รับ
5. จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า มีใครบ้างที่พูดได้ว่าตัวเองให้เกียรติพ่อแม่มาตลอดทั้งชีวิต มีใครบ้างพูดได้ว่าให้เกียรติพ่อแม่ของตนอย่างสมบูรณ์ตลอดเวลา ไม่เคยพูด ไม่เคยคิด หรือไม่เคยทำผิดต่อพ่อแม่ของตนเลย ผมคิดว่าไม่มีใครเลยสักคน ที่สามารถประพฤติตนเป็นคนดี ให้เกียรติพ่อแม่มากเท่าที่สมควรได้
6. อย่าฆ่าคน เราส่วนใหญ่คงไม่เคยฆ่าใคร แต่พระเยซูทรงตีความขยายพระบัญญัติประการนี้ไว้ในพระธรรมมัทธิวว่า ถ้าเราเกลียดชังพี่น้องหรือโกรธใครสักคนหนึ่ง ก็เท่ากับเราฆ่าเขา และนี่คือมุมมองเรื่องนี้ตามสายพระเนตรพระเจ้า
7. อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา พระเยซูตรัสว่าถ้าเรามองดูผู้หญิงอื่นด้วยใจที่มีกิเลสตัณหา เราก็ทำผิดพระบัญญัติประการนี้ ในสายพระเนตรของพระเจ้าเพียงแค่คิด แม้ไม่ได้ลงมือทำก็ทรงถือว่าผิดแล้ว
8. อย่าลักทรัพย์ หมายถึงการหยิบฉวยทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเล็กน้อยสักแค่ไหนของคนอื่นมาเป็นของตัว
9. อย่าเป็นพยานเท็จ ไม่มีใครในโลกนี้พูดได้ว่าตัวเองไม่เคยทำผิดเรื่องนี้
10. อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน โลภหมายความว่าอยาก
ได้อยากมี จนกระทั่งชีวิตจิตใจจดจ่ออยู่ที่สิ่งนั้นสิ่งเดียว คิดอยู่แต่ว่าจะได้มันมาครอบครองได้อย่างไร
ดูตามพระบัญญัติก็พูดได้ว่าเราทุกคนมีความผิดและจะต้องถูกกล่าวโทษเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า คนบางคนอาจจะทะนงตัวว่าทำดีที่สุดแล้ว และหวังว่าพระเจ้าจะทรงมองข้ามส่วนที่พลาดไป แต่พระธรรมยากอบ 2:10 บอกเราว่า คนที่รักษาพระบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ก็เป็นผู้ผิดพระบัญญัติทั้งหมด
แก่นความจริงของเรื่องนี้ก็คือ เราทุกคนล้วนทำผิดพระบัญญัติของพระเจ้ากันทั้งนั้น ไม่มีใครเลยสักคนนับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันที่สามารถรักษาพระบัญญัติไว้ได้โดยไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่น้อยในชีวิต ไม่มีใครสักคนนับแต่นี้ไปจนถึงวันสิ้นโลกที่จะไม่ทำผิดพระบัญญัติเลยตลอดชีวิต การไม่ทำผิดพระบัญญัติเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเราทุกคนจะต้องถูกตัดสินลงโทษว่ามีความผิด เมื่อยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า
มีความสัมพันธ์หรือไม่มีความสัมพันธ์
เราพูดกันแล้วในบทเรียนตอนแรกว่า เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรลงมาในโลกนี้ พระองค์ทรงมองดูมนุษย์เป็นสองพวกเท่านั้น คือเป็นพวกที่รู้จักและมีความสัมพันธ์กับพระองค์พวกหนึ่ง และอีกพวกหนึ่งคือพวกที่ไม่รู้จักและไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ หรือพูดอีกอย่างก็คือคนที่เป็นของพระองค์
และที่ไม่ได้เป็นของพระองค์ และคนสองพวกนี้แหละที่เราจะเรียนรู้เรื่องของพวกเขา พระคัมภีร์ใช้คำเรียกคนสองพวกนี้แตกต่างกันไปหลายอย่าง ให้เรามาลองรู้จักคำเหล่านั้นกันดูสักหน่อย
หลงหาย
คำแรกคือคำว่า หลงหาย ซึ่งมีเขียนอยู่ใน พระธรรมลูกา 19:10 ว่า “เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด” พระเยซูเสด็จมาในโลกนี้ทำไม พระคัมภีร์ข้อนี้บอกเราว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อแสวงหา และช่วยผู้หลงหายไปให้รอด คำที่น่าสนใจในที่นี้คือคำว่า หลง หรือหลงหาย ซึ่งมักจะใช้กันในแง่ลบมากกว่าแง่บวก อย่างเช่น คนที่กำลังเห็นผิดเป็นชอบ เราก็จะบอกว่าเขากำลังหลงผิด หรือคนที่รักหรือชอบใครหรืออะไรสักอย่างหนึ่งมากจนลืมคิดว่าอะไรผิดอะไรถูก เราก็บอกว่าเขากำลังหลงคนนั้นหรือสิ่งนั้นเป็นต้น ส่วนมากเมื่อเราพูดถึงคำว่า หลง เราก็มักจะคิดถึงความรู้สึกหรือการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
พระคัมภีร์บอกเราว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเห็นคนที่ไม่รู้จัก ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ตลอดจนคนที่ทำผิดพระบัญญัติ 10 ประการ และคนมีความผิดว่าเป็นคนหลงหาย เขาเหล่านี้เป็นเหมือนเด็กคนหนึ่งที่เดินวนเวียนหลงทางอยู่กลางป่า ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และหาทางออกไม่เจอ ทั้งป่านั้นก็ลึกและกว้างใหญ่มหาศาลหลายพันหลายหมื่นไร่ ไม่มีหวังที่จะหาทางออกจากป่าเองได้
คำว่าหลงหายนี้ บรรยายให้เห็นภาพของคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่ง ให้เราเห็นถึงคนที่หาทางออกจากปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ ถ้าคุณหลง ก็หมายความว่าคุณหาทางออกไม่เจอ คุณหลง ก็คือคุณต้องการใครสักคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นให้มาช่วยคุณ คุณจำเป็นจะต้องหลุดออกจากสภาพที่คุณเป็นอยู่คือสภาพของคนหลงหาย สภาพนี้แหละ คือสภาพของคนทำผิดพระบัญญัติตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าทรงมองว่าทั้งคุณและผมตกอยู่ในสภาพนี้ เพราะเราต่างก็หลงผิดทำบาปด้วยกันทั้งนั้น
รอด
คำต่อไปเป็นคำที่พูดถึงคุณสมบัติของคนที่ผูกพันกับพระเจ้า คนที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ คำนั้นคือคำว่า รอด พระธรรมโรม 10:13 บอกว่า “ผู้ใดที่จะร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด” ให้เรามา พิจารณาดูคำว่ารอดนี้ด้วยกัน คำนี้สำคัญมากทีเดียว
ตอนที่ผมเริ่มเข้าโบสถ์คณะแบ๊พติสท์ใหม่ ๆ ผมยังจำได้ว่าตอนที่ได้ยินคนพูดกันเรื่องการได้รับความรอดนั้น ผมแปลกใจแทบแย่ ในใจผมคิดอะไรคล้าย ๆ อย่างนี้ว่า “รอดหรือ รอดเริ่ดอะไรกัน ผมไม่เห็นจะต้องให้ใครมาช่วยให้รอด” แต่แล้วเมื่อผมเริ่มเรียนรู้ว่า ต่อพระพักตร์พระเจ้าผมเป็นคนบาป เริ่มมองเห็นตัวเองอย่างที่พระเจ้าเห็น ผมก็รู้ตัวว่าผมเป็นคนที่กำลังหลงหายอยู่และต้องการผู้ช่วยให้รอดจริง ๆ
คืนที่พระคริสต์ทรงช่วยผมให้รอดนั้น ผมพร้อมแล้วที่จะให้พระองค์ช่วย ผมต้องการให้พระองค์ช่วยผมให้รอดเพราะผมรู้ว่าผมเป็นคนสิ้นหวัง และช่วยตัวเองไม่ได้ ผมเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางป่า ไม่รู้ว่าจะหันหน้าเดินไปทางไหน ถ้าเด็กคนหนึ่งกำลังหลงทางอยู่กลางป่า แล้วมีใครสักคนผ่านมาช่วยชีวิตไว้ คุณคิดว่าเด็กคนนั้นจะมัวแต่จู้จี้ เลือกหน้าเลือกตาคนที่มาช่วยหรือเปล่า ไม่ใช่แน่นอน เขาคงจะดีใจมากที่มีคนมาช่วยให้ออกไปจากตรงนั้นได้จนไม่มีใจจะคิด
ถึงอะไรอื่นแน่
ทีนี้สมมุติว่าคุณลงเรือไปกลางมหาสมุทรใหญ่แล้วเกิดตกจากเรือลงไปในทะเล เรือก็แล่นต่อไม่รับรู้เรื่องของคุณ คุณต้องลอยคออยู่กลางทะเล จมแหล่มิจมแหล่ เป็นเหยื่อล่อฉลาม จะว่ายเข้าฝั่ง ฝั่งก็อยู่ไกล ต้องลอยคออยู่อย่างนั้น จนสองหรือสามวันผ่านไป มีเรือลำหนึ่งแล่นผ่านมาเห็นคุณเข้า แล้วคนบนเรือก็โยนชูชีพลงมาให้ คุณจะพูดอย่างนี้หรือเปล่าว่า “แหม ชูชีพอันนี้ไม่สวยเลย ขอเปลี่ยนอันใหม่ได้ไหมครับ” ไม่ ใช่ไหมครับ สิ่งเดียวที่คุณจะทำก็คือ รีบคว้าอะไรก็ได้ที่คุณรู้ว่าจะช่วยคุณให้รอดเอาไว้ก่อน ทำไมหรือครับ ก็เพราะคุณรู้ว่ากลางมหาสมุทรใหญ่อย่างนี้คุณไม่มีทางช่วยตัวเองให้รอดได้ คุณต้อง
การใครสักคนหนึ่งมาช่วยฉุดคุณขึ้นจากตรงนั้น ใช่ไหมล่ะครับ
นั่นแหละครับคือความหมายของคำว่ารอด หมายความว่าต้องมีใครสักคนหนึ่งมาช่วยจึงจะรอด พระคัมภีร์บอกว่าทั้งคุณและผมทำผิดพระบัญญัติสิบประการ ธรรมบัญญัติซึ่งเป็นข้อกฎหมายของพระเจ้าที่ทำผิดแม้เพียงข้อเดียวก็ถือว่าผิดบาปแล้ว แต่เราทุกคนทำผิดหมดทุกข้อนะครับ เราทั้งหลายต่างก็เป็นคนผิดบาปมหันต์และในสายพระเนตรพระเจ้าเราก็คือคนที่กำลังหลงหายอยู่
แต่มีคนพวกหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า คนพวกนี้เป็นพวกที่รอดแล้วเพราะมีผู้ช่วยให้รอด แต่การที่ใครสักคนจะได้รับการช่วยให้รอด หมายความว่าเขาจะต้องเคยผ่านช่วงเวลาแห่งการหลงหายมาแล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรือไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง หมายความว่าพวกเขาไม่ได้รับความรอดมาตั้งแต่เกิด คุณก็ไม่ผิดอะไรไปจากคนพวกนี้นะครับ คุณไม่ได้เกิดมาอย่างคนที่รอดแล้ว แต่เกิดมาอย่างคนที่กำลังหลงหาย หลงทางอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังสกปรก อยู่ห่างไกลจากพระเจ้า ต้องการผู้มาช่วยกู้ให้รอด และคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้รับการช่วยให้รอดแล้วนั้น ก็คือคนที่ได้รับการฉุดขึ้นมาให้พ้นจากอันตรายที่เขากำลังเผชิญอยู่
คนอธรรม
คำที่เราจะดูต่อไปเป็นคำที่สองคือคำว่า คนอธรรม พระธรรมหนึ่งโครินธ์ 6:9-10 กล่าวว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าคนอธรรมจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก อย่าหลงเลย คนล่วงประเวณี คนถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา คนนิสัยเหมือนผู้หญิงหรือคนที่เป็นกะเทย คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”
ใครบ้างที่จะได้ชื่อว่าเป็นคนอธรรม คนอธรรมคือคนที่ทำผิด
ในสายพระเนตรของพระเจ้า คนอธรรมหมายถึงคนที่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือคนที่ไม่มีคุณธรรมในการดำเนินชีวิต ถ้าคุณใคร่ครวญพระบัญญัติทั้งสิบประการด้วยความสัตย์จริง คุณไม่มีทางทูลพระเจ้าได้เลยว่า คุณเป็นคนถูกต้องชอบธรรม ไม่มีทางที่คุณจะพูดได้เลยว่าคุณรักษาพระบัญญัติสิบประการได้ครบทุกข้อตลอดชีวิต จะว่าไปแล้วตามพระคัมภีร์ทุกคนทำผิดพระบัญญัติเพียงแค่เก้าประการ เพราะตอนที่เราเกิดความโกหกก็ติดตัวเราออกมาแล้ว อย่างที่พระธรรมสดุดี 58:3 บอกไว้ว่า
“คนชั่วหลงเจิ่นไปตั้งแต่จากครรภ์ เขาหลงทางไปตั้งแต่เกิด คือพูดมุสา” เราเป็นคนโกหกตั้งแต่เกิด คิดดูสิครับว่าเราต้องสอนลูกหลานเราให้พูดความจริง แต่เรื่องโกหกนี่ไม่ต้องสอนเลย พวกเขาโกหกได้ง่าย ๆ สบาย ๆ เป็นธรรมชาติเลย
พระคัมภีร์บอกเราว่าเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเราเป็นคนผิดบาป เราทำผิดพระบัญญัติสิบประการ และตามข้อพระคัมภีร์ที่เราอ่านผ่านมา (1 โครินธ์ 6:9 –10) พระเจ้าตรัสด้วยว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก น่ากลัวเหมือนกันนะครับ เราจะแยกพระคัมภีร์ตอนนี้ออกเป็นส่วน ๆ ดู จะได้เห็นว่าพระเจ้าทรงกำลังพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง
อย่าหลงเลย ยังไม่ลืมใช่ไหมครับว่า เรากำลังศึกษามุมมองของพระเจ้า พระองค์ทรงบอกเราว่าอย่าเป็นคนโง่เขลา อย่าหลอกลวงตนเอง แต่ผู้คนในโลกนี้ก็กำลังประพฤติอย่างนี้กันอยู่ คนพวกนี้คิดว่าตราบใดที่เขาไปโบสถ์ ทำตามคำสอนทางศาสนา ประพฤติตนเป็นคนดี หรือรับบัพติศมาแล้ว ตราบนั้นเขาก็เป็นคนดีมีศีลธรรมถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะมีรายการคุณงามความดีของตัวเองบันทึกไว้ยาวเหยียด ก็เลยมั่นใจว่าตัวเองไปได้รอดแล้ว พระเจ้าจะทรงละเว้นพวกเขาแน่ แต่พระเจ้าตรัสว่า อย่าหลงเลย อย่าหลอกตนเองเลย
คนล่วงประเวณี การล่วงประเวณีไม่ใช่แค่การกระทำเท่านั้น แต่รวมถึงความรู้สึกนึกคิดในใจที่ทำให้มีกิเลสทางเพศ การคิดสิ่งที่ไม่ควรคิดอย่างนี้คือการทำผิดบาปในแง่ดังกล่าว คุณเคยคิดอะไร ที่ไม่ถูกต้องกับเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกันบ้างหรือเปล่าครับ
คนถือรูปเคารพ คุณเคยมีพระเจ้าแบบที่คิดขึ้นมาเองหรือเปล่า เป็นพระเจ้าแบบตามใจฉัน แทนที่จะให้พระองค์เป็นพระเจ้าอย่างที่พระองค์เป็น
คนผิดผัวเมียเขา คนมีนิสัยเหมือนผู้หญิงหรือเป็นกะเทย เราพูดกันถึงเรื่องของชาวเมืองโสโดม และโกโมราห์ในสมัยพระคัมภีร์ แต่ทุกวันนี้มีคนประพฤติแบบนี้อยู่ทั่วไป หันไปทางไหนก็เจอคนรักร่วมเพศได้
คนทำผิดต่อเพื่อนมนุษย์ ขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก พระเจ้าทรงรวบรวมรายชื่อของคนพวกที่จะไม่ได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ เพราะเป็นคนที่ทำผิดบาปต่อพระองค์ไว้ในพระธรรมสองข้อนี้ และตอนนี้เรากำลังมองดูสิ่งต่าง ๆ ตามมุมมองของพระเจ้าอยู่ พระเจ้าทรงเห็นว่าคนที่ฝ่าฝืนหรือละเมิดธรรมบัญญัติของพระองค์เป็นคนผิดบาป และเป็นคนที่จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระองค์เป็นมรดก เราทุกคนก็รวมอยู่ในดนพวกนี้นะครับ
พระธรรมโรม 3:10 กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย” บางทีคุณอาจจะคิดว่าคุณไม่ได้รวมอยู่ในคนพวกนั้น เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง แต่พระจ้าตรัสว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ดังนั้นคุณก็ไม่ใช่คนชอบธรรมด้วย และถ้าคุณไม่ใช่คนชอบธรรมก็หมายความว่าคุณเป็นคนอธรรม พระเจ้าทรงบอกไว้ชัดเจน ในพระธรรมหนึ่งโค-รินธ์ 6 ว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก ยังไม่ลืมใช่ไหมครับว่า เรากำลังมองดูสิ่งต่าง ๆตามอย่างที่พระเจ้าทรงมองดู ไม่ใช่ดูตามแบบที่เราคิด วันหนึ่งทั้งคุณและผมจะต้องไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ เราควรจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันนั้น เพราะเราจะยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ซึ่งจะตรัสกับเราว่า “ในสายตาของเรา เจ้าทำผิด” ดังนั้นเราจะมองข้ามเรื่องนี้ไม่ได้นะครับ
คนชอบธรรม
แต่ให้เรามาดูกันว่า พระเจ้าตรัสใน 1 โครินธ์ 6:11 ว่า
“แต่ก่อนมีบางคนในพวกท่านเป็นคนอย่างนั้น แต่ท่านได้รับการทรงชำระแล้ว” หมายความว่านอกจากคนผิดและคนที่ไม่รู้จักหรือไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้ว ยังมีคนอีกพวกหนึ่ง เป็นพวกที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า คนพวกนี้คือคนพวกซึ่งเคยเป็นคนชอบธรรม แต่เวลานี้กลับกลายเป็นคนที่ถูกต้องในสายพระเนตร มีบางอย่างทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงไป พวกเขากลายเป็นคนพวกที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และได้รับชื่อใหม่ว่า คนชอบธรรม ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนผิดในสายพระเนตร พระองค์ทรงเห็นว่าเขาเป็นคนบาปชั่ว แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ทรงเห็นเขาในสภาพใหม่ คือสภาพของคนชอบธรรม พระเจ้าทรงชำระเขาแล้วด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง
โรม 5:19 บอกเราว่า “เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาปเพราะคน ๆ เดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น” เราอ่านจากพระธรรมโรม 3:10 และทราบแล้วว่า ไม่มีใครเป็นคนชอบธรรมเองได้เลยแม้แต่คนเดียว แต่ในพระธรรมโรม 5:19 นี้ มีคนเป็นอันมากที่ได้เป็นคนชอบธรรม พระคัมภีร์ข้อนี้บอกเราว่า คนเป็นอันมากเป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ ด้วยฤทธิ์อำนาจที่ไม่ใช่ของตัวเขาเอง พวกเขาได้มาอยู่ในฝ่ายของคนชอบธรรม บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนเขา จากคนซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้ากลายเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์
เท่าที่ผ่านมาสรุปได้ว่า มีคนพวกหนึ่งซึ่งยังหลงทางอยู่ พวกเขาหาทางหลุดพ้นจากที่ที่เขาหลงอยู่ยังไม่พบ ไม่รู้ว่าจะไปสวรรค์ได้อย่างไร จะไปหาพระเจ้าเองก็ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรชี้ทางให้ แต่พระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากสภาพนี้ได้ เพราะเราเห็นได้ว่ามีคนพวกหนึ่งที่เคยเป็นคนผิดบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขา บางอย่างที่ทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ถูกต้องในสายพระเนตร และเรารู้ด้วยว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะความสามารถของตัวเขาเอง แต่มีผู้หนึ่งจัดเตรียมให้
ผู้ไม่ได้รับการยกโทษ
ให้เรามาดูคำที่สามซึ่งอยู่ในพระธรรมโรม 4:6-7 ที่ว่า “ดังที่ดาวิดได้กล่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นคนชอบธรรม โดยมิได้อาศัยการประพฤติว่า ‘คนทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงโปรดยกความชั่วช้าของเขาแล้ว และพระเจ้าทรงกลบเกลื่อนบาปของเขาแล้วก็เป็นสุข’” คำว่า โปรด หมายความว่าถูกใจหรือพอใจมาก เป็นการแสดงความเมตตากรุณาปลดเปลื้องความเดือดร้อนให้ พระเจ้าตรัสว่ามีบางคนที่พระองค์ทรงเมตตาปลดเปลื้องความเดือดร้อน และยกความชั่วช้าออกไปให้ พวกเขากลายเป็นคนชอบธรรม สังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าที่พวกเขาได้เป็นคนชอบธรรมนั้น เพราะพระเจ้าทรงโปรดให้เขาเป็น ไม่ใช่เพราะเขาทำตัวเองให้เป็นอย่างนั้น
ถ้าพิจารณาดูตามข้อ 7 จะเห็นว่าพระเจ้าตรัสว่าคนชอบธรรมนี้คือคนพวกที่ พระองค์ทรงโปรดยกหรืออภัยความชั่วช้าให้ แสดงว่าก่อนหน้านั้นเขาคือคนพวกที่มีความชั่วช้าหรือความบาป และยังไม่ได้รับการอภัย
จำได้ใช่ไหมครับว่าพระเจ้าทรงเห็นว่าคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์เป็นอย่างไร มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนแต่ทำผิดบาปต่อพระเจ้า เราทำผิดธรรมบัญญัติ และประพฤติต่อพระองค์อย่างไม่สมควร เราเป็นคนผิด คนหลงหายและเป็นคนอธรรม ดังนั้นสภาพของเราก็คือคนชั่วช้าไม่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า การได้รับการอภัยก็คือการที่พระองค์ไม่ทรงถือโทษทั้งที่ทำผิดบาป เป็นสิ่งที่ทรงโปรดกระทำให้เรา ไม่ใช่เกิดจากตัวเราเองเป็นผู้ทำ
สมมุติว่าผมชกใครสักคนหนึ่งที่ผมเกิดหมั่นไส้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีความผิดอะไรเลย เสร็จแล้วผมก็ประกาศยกโทษให้ตัวเอง แล้วก็ทิ้งเขาไว้อย่างนั้น โทษของผมได้รับการอภัยหรือเปล่า ผมทำร้ายคนอื่น ทำผิดต่อเขาแล้วยกโทษให้ตัวเองได้หรือเปล่า ไม่ได้ใช่ไหมครับ คนที่จะยกโทษให้ผมได้ก็ต้องเป็นคนที่ถูกผมชก คนที่ผมทำผิดต่อเขาต่างหากที่ต้องยกโทษให้ผม การที่ผมจะเที่ยวเดินพูดอวดใครต่อใครว่า “ความผิดของผมได้รับการอภัย เพราะผมพูดยกโทษให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว จบเรื่องแล้ว” อย่างนี้คงช่วยอะไรผมไม่ได้ใช่ไหมครับ
แต่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ก็เป็นอย่างนี็ใช้ไหมครับ พวกเขาใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ไม่วิตกกังวลเหมือนจะบอกว่า เขาเป็นปกติสุขดี ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้รับการอภัยจากพระเจ้ายังมีความผิดต่อพระองค์ พระคัมภีร์บอกเราไว้ว่าเราทุกคนทำผิดบาปต่อพระเจ้า รอให้ถึงตอนที่คุณต้องเผชิญกับพระเจ้าในเวลานั้นก่อนเถิด แล้วคุณจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณจะรู้ชัดเลยว่า คุณเองให้อภัยตัวเองไม่ได้ พระเจ้าตรัสว่า มีคนมากมายที่ยังไม่ได้รับการอภัยจากพระองค์นะครับ
ผู้ได้รับการอภัย
แต่พระเจ้าตรัสในเอเฟซัส 1:7 ว่าเป็นไปได้ที่เราจะได้รับการอภัย “ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปของเราโดยพระคุณอันอุดมของพระองค์” มันเป็นไปได้ที่เราจะได้รับการอภัยโดยทางพระเยซูคริสต์ พระธรรมโรม 4:6 – 7 บอกเราไว้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ทรงอภัยโทษบาปของเรา และการอภัยโทษนั้นก็คือการทรงกลบเกลื่อนหรือลบล้างความผิดบาปของเรา เราได้รับการอภัยโทษบาปจากพระเจ้าโดยพระโลหิตของพระเยซู ว่าแต่ว่าทำไมผู้ที่จะอภัยโทษบาปของเราจะต้องเป็นพระเจ้าล่ะ ก็เพราะ
ว่าเราทำผิดต่อพระองค์ยังไงล่ะครับ และเพราะอย่างนี้เองพระเจ้าจึงทรงบอกว่า คนที่พระองค์ทรงอภัยโทษบาปให้แล้วนั้นคือคนที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ หมายความว่าคนพวกนี้เคยทำผิดต่อพระองค์แต่ทรงอภัยโทษบาปให้เขา พวกเขาได้รับการอภัยโทษแล้ว
อย่าลืมว่าเรากำลังมองดูผู้คนเป็นสองพวกตามที่พระเจ้าทรงมอง เมื่อเรายืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เราจะต้องยืนอยู่ในพวกใดพวกหนึ่งในสองพวกนี้ ไม่พวกที่ได้รับการอภัยโทษบาปแล้วก็พวกที่ยังไม่ได้รับการอภัย แต่มีคนบางพวกคิดว่าทำผิดแล้วแค่อ้าปากทูลขอโทษพระองค์เสีย แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อยไป อย่างนี้หมายความว่าขอโทษหรือเสียใจแต่ปากเท่านั้นนะครับ เมื่อทูลขอโทษก็ต้องให้ออกมาจากใจจริงด้วยจึงจะถูก
จำไว้ว่าพระเจ้าทรงหยั่งรู้ถึงจิตใจคน เมื่อเป็นอย่างนี้จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการอภัยโทษเมื่อยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงอภัยโทษคนที่เชื่อฟังและทำตามพระองค์ แต่คำสัญญานี้จะเกิดผลเฉพาะคนที่ทำตามเงื่อนไขของพระองค์เท่านั้น พระเจ้าทรงทราบว่าใจเราคิดอะไรอยู่ ทรงทราบว่าเรากำลังทำตามใจตัวเอง หรือเรากำลังแสวงหาและดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงวางไว้จริง ๆ
ศัตรูของพระเจ้า
มีอีกคำหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้กับคนพวกที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ คำนี้อยู่ในพระธรรมโรม 5:10 ที่ว่า “เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้าโดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้วเราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่ ” พระเจ้าตรัสว่ามีคนพวกหนึ่งที่เป็นศัตรูของพระองค์
เมื่อพระเจ้ามองดูคนเหล่านั้นที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ทรงเห็นว่าคนเหล่านั้นเป็นคนที่ยังหลงทางอยู่ เป็นคนอธรรม ไม่ได้รับการอภัยและเป็นศัตรูของพระองค์ ซึ่งคริสตจักรส่วนใหญ่ ในปัจจุบันไม่ค่อยสอนเรื่องนี้ทั้งๆที่เป็นความจริงตามที่พระเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์ เราเป็นศัตรูของพระองค์ เราอยู่ในพวกที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์
ลองดูเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง สมมุติว่าคุณชวนเพื่อนมาค้างคืนคุยกันที่บ้าน แต่บังเอิญก่อนเขามาคุณเกิดรู้ว่าเขาไม่จริงใจกับคุณ ที่ผ่านมาเขาแค่หลอกใช้คุณและเกลียดคุณ ที่ทำดีกับคุณก็เพราะหวังผลประโยชน์ คุณรู้อย่างนี้แล้วยังจะนับว่าว่าเขาเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า
ทำความเข้าใจให้ดีนะครับ ที่พระเจ้าตรัสว่าเราเป็นศัตรูของพระองค์ ไม่ได้ตรัสว่าพระองค์เป็นศัตรูต่อเรา. พระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่บนสวรรค์แล้วตรัสว่า “ เราเกลียดเจ้า และเราจะหาทางทำลายล้างเจ้า! ” ถ้าพระองค์ประสงค์จะทำอย่างนั้นน่ะหรือครับ แค่ตรัสคำเดียวคุณก็มลายหายไปแน่ ๆ ไม่ทันกระพริบตาด้วยซ้ำ. ไม่ใช่พระองค์นะครับที่ตั้งตัวเป็นศัตรู แต่เป็นตัวเราเองต่างหาก. อย่างนี้แล้วคุณยังคิดว่าพระองค์จะปล่อยให้คุณลอยนวลเข้าสวรรค์อยู่อีกรึครับ พระเจ้าน่าจะตรัสว่า “จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร เจ้าอยากจะเข้าสวรรค์ จะให้เราอนุญาตให้เจ้าเข้าสวรรค์ ทั้งๆที่เจ้าทำอย่างนี้กับเราหรือ”
แล้วเหตุการณ์รุนแรง ในพระคัมภีร์อย่างตอนที่พระเจ้าทรงทำลายล้างผู้ตั้งตนเป็นศัตรูของพระองค์ หรือตอนที่ทรงให้อำนาจชนชาติอิสราเอลทำลายสารพัดทุกคนในเมืองเยรีโคล่ะครับ ที่ว่าทำลายนั้นคือฆ่านะครับไม่ใช่แค่ทุบทำลาย เรื่องพวกนั้นเป็นอย่างไรครับ แล้วยังเรื่องอื่นอีกที่ว่าทำไมพระเจ้าทรงปล่อยให้คนที่ไม่ได้เข้าไปในเรือของโนอาห์ตายหมดล่ะครับ พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างชาวเยรีโคหรือคนพวกที่ไม่ยอมเข้าไปในเรือโนอาห์เพื่อให้เป็นศัตรูต่อพระองค์ ตรงข้ามทรงสร้างทุกคนให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ให้รักพระองค์ คนต่างหากที่ปฏิเสธไม่ยอมรับความรักของพระองค์ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกเขาหันไปหาพระอื่น ๆ เพราะอยากทำตามใจชอบของตัวเอง พวกเขาสร้างสิ่งเหล่านั้น รักสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น แล้วก็หันหลังให้กับพระเจ้าแท้จริง ผู้ทรงสร้างและทรงรักพวกเขา คนพวกนี้แหละเป็นพวกที่บอกว่า “ ไม่ ฉันจะทำอย่างที่ฉันอยากทำ ” การปฏิเสธไม่ยอมรับพระเจ้าก็คือการพูดอะไรทำนองนี้ ตัวเราเองก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน เราตั้งพระเจ้าขึ้นองค์หนึ่งในใจ ให้พระเจ้าองค์นั้นเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นแล้วเราก็เชื่อฟังสิ่งที่เราสร้างขึ้น ทำไมหรือครับ เพราะเราอยากทำตามใจชอบของตัวเราเอง น่ะสิครับ. การไม่ยอมรับพระเจ้าเที่ยงแท้นี่เองทำให้เราเป็นฝ่ายศัตรูของพระองค์
พวกที่กลับคืนดีกับพระเจ้า
พิจารณาดูคำอีกคำหนึ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ถึงสองครั้งในพระธรรมโรม 5:10 คือคำว่า กลับคืนดี ซึ่งเป็นคำที่พระเจ้าใช้เมื่อตรัสถึงคนพวกที่มีความสัมพันธ์พระองค์ พระองค์ตรัสว่าพวกเขาเป็นพวกที่กลับคืนกับพระองค์แล้ว ในพระธรรมโคโลสี 1:21 ก็พูดถึงคำนี้ไว้เหมือนกัน คำว่ากลับคืนดีนี้ หมายถึง การกระทำให้คนสองคนฝ่ายที่โกรธกันแล้วกลับคืนเข้าสู่ภาวะความเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
เราเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเพราะเราเป็นฝ่ายที่ทำผิดต่อพระองค์ พระเจ้าไม่เคยทำผิดบาป และไม่เคยทรงทำผิดต่อเรา ดังนั้นฝ่ายที่จะต้องจัดการกับตัวเองไม่ใช่พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องดิ้นรนหาทางกลับคืนดีกับเรา เราต่างหากเป็นฝ่ายที่ต้องทำอย่างนั้น และเราต้องให้ใครสักคนหนึ่งนำเรากลับคืนดีกับพระองค์ การจะกลับคืนดีได้นั้น ไม่ได้เกิดจากตัวเราฝ่ายเดียว ต้องมีอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเราเป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น เราจัดการกับเรื่องนี้เองไม่ได้ สมมุติว่าผมทำกระจกหน้าต่างบ้านคุณแตก รู้ว่าคุณโกรธมาก ก็เลยมาขอโทษคุณ ใจจริงก็อยากชดใช้ค่ากระจก คุณจะได้หายโกรธ แต่ผมไม่มีเงิน ถ้าอย่างนั้นคนที่จะพูดว่า ไม่เป็นไร ผมจะจ่ายค่ากระจกที่คุณทำแตกเอง ผมจะรับผิดชอบทั้งหมด แล้วจะไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้ แล้วก็ให้มันแล้วกันไป เราจะได้ไม่ต้องมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้นั้น ก็ต้องเป็นตัวคุณผู้ที่ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่ผม ถูกต้องไหมครับ
แต่ความผิดที่เราทำต่อพระเจ้านั้น มันหนักหนาสาหัสกว่านี้นะครับ เรามีหนี้บาปที่จะต้องชดใช้พระองค์มากจนตัวเราเองไม่มีทางจะหาอะไรมาชดเชยได้ พระเจ้าเท่านั้นแหละครับที่จะทรงชดใช้ค่าความผิดบาปของเราได้ ความตายของพระเยซูคริสต์ยังไงล่ะครับ ที่เป็นการทรงชดใช้หนี้ความผิดบาปให้เรา เราจึงกลับคืนดีกับพระเจ้าได้เพราะความตายของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงรักเรามาก ทรงปรารถนาให้คุณมีความสัมพันธ์กับพระองค์มากจน ทรงยอมยกโทษบาปของคุณ และยอมให้คุณกลับคืนดีกับพระองค์ ทรงเต็มใจจ่ายค่าบาปผิดแทนคุณด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์บนกางเขน
ผู้ที่ถูกพิพากษาลงโทษ
ยอห์น 3:18 บอกเราว่า “ผู้ที่เชื่อในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่เชื่อก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้เชื่อในพระนามพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระเจ้า”
คนพวกที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าคือ คนที่หลงทาง และเป็นคนอธรรม พวกเขาไม่ได้รับการอภัยโทษบาป เป็นศัตรูของพระเจ้า และพวกเขาเป็นพวกที่ถูกพิพากษาลงโทษ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากถูกนำไปขึ้นศาล ไปนั่งอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ผู้พิพากษา ฟังคำให้การของพยานทั้งหลาย ผู้พิพากษาทุบค้อนลงบนโต๊ะ ประกาศพิพากษาว่าคนผู้นี้เป็นผู้มีความผิดต้องโทษประหารชีวิต ตรงนี้แหละครับคือสภาพที่พระเจ้ามองเห็นคุณ
ไม่มีทนายคนไหน ที่คุณจะจ้างมาว่าความให้คุณได้ คุณจะต้องยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงความบริสุทธิ์ และทรงรู้เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตคุณ ไม่ว่าจะเป็นบาปเวรกรรมที่คุณทำ หรือความคิดชั่ว ๆ ทั้งหลายที่คูณมี พระองค์ทรงล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณ และทรงบอกให้ทราบทั่วกันแล้วในพระคัมภีร์ว่า คุณคือคนที่จะต้องถูกพิพากษาลงโทษ
สมมุติว่าคุณต้องขึ้นศาล และถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าคน ผู้พิพากษาตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ แล้วคุณเกิดหนีไปได้ระหว่างทางไปแดนประหาร แต่คุณจะมีชีวิตอยู่แบบไหน ความผิดมันจะติดอยู่ในใจตลอดเวลา เวลาเดินไปเจอตำรวจคุณจะตกใจกลัวแทบบ้า ต้องรีบหาทางหลบซ่อนตัว ภาวนาไม่ให้ตำรวจเห็น ตอนที่หลบอยู่ก็ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพร้อมจะวิ่งหนี ทีนี้ถ้าเกิดคุณถูกรังแกข่มขู่ คุณจะกล้าโทรฯแจ้งตำรวจหรือเปล่า ไม่กล้าแน่นอน คุณต้องหาทางเอาตัวรอดเอง กฎหมายบ้านเมืองตามล่าคุณอยู่ คุณต้องหนีอย่างนั้นไปจนตาย หนีทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหนีไม่พ้น ไม่วันใดวันหนึ่งต้องถูกจับได้ ถูกประหาร ร้องขอความเมตตาก็ไม่ได้ ไม่มีทางหลบเลี่ยง ยังไง ๆ ก็ต้องถูกประหารเพราะศาลไม่กลับคำพิพากษาแน่ ๆ
ถ้าคุณไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ชีวิตของคุณก็กำลังเป็นไปอย่างนั้น เวลานี้คุณมีชีวิตอยู่อย่างคนผิดบาป ถ้าคุณเกิดตายลงไปโดยไม่พระคริสต์อยู่ในชีวิตคุณ คุณก็ต้องไปอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า และจะถูกพิพากษาโทษทันที ทั้งนี้เพราะคุณเป็นคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
คนชอบธรรม
คำที่จะพูดถึงต่อไปนี้อยู่ในพระธรรมโรม 5:1 “เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้วเราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” คำว่า เป็นคน-ชอบธรรม หมายความว่า คุณได้รับการรับรองว่าเป็นคนถูกต้องตามหลักธรรม ถูกต้องตามหลักนิตินัย อย่างเช่นสมมุติว่าคุณถูกนำตัวขึ้นศาล และผู้พิพากษาพิจารณาตัดสินคดี ให้คุณจ่ายค่าปรับ แต่มีใครสักคนหนึ่งเดินทางมาจ่ายค่าปรับแทนคุณ แล้วผู้พิพากษาก็ทุบค้อนปิดคดี คุณก็เดินออกจากห้องพิจารณาคดีได้เลยเพราะมีผู้จ่ายค่าปรับให้คุณเรียบร้อยแล้ว คุณไม่ใช่คนผิดอีกต่อไป ทีนี้เวลาออกไปเจอตำรวจ คุณรู้สึกอย่างไร คุณไม่กลัว ไม่ตกใจ เพราะรู้ว่าตำรวจทำอะไรคุณไม่ได้ เขาจะจับคุณด้วยข้อหาเก่าไม่ได้แล้ว คุณไม่ต้องกลัวเพราะตามกฎหมายคุณพ้นข้อหาแล้ว ไม่มีความผิดอีกต่อไป คุณได้รับการชำระหนี้และกลายเป็นคนชอบธรรม
สังเกตด้วยว่าที่คุณเป็นอย่างนั้นได้ไม่ใช่เพราะว่าคุณไม่เคยทำอะไรเลย ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ได้ทำผิดมาก่อน แต่หมายถึงว่าความผิดของคุณได้รับการอภัย ได้รับการพิพากษาว่าไม่มีความผิด โทษผิดของคุณได้รับการชำระแล้ว กฎหมายทำอะไรคุณไม่ได้ มีผู้จ่ายค่าปรับให้คุณแล้ว คุณไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป อย่างนี้แหละคือความหมายของการเป็นคนชอบธรรม
ดังนั้นพระเจ้าทรงเห็นคนเป็น 2 พวก พวกแรก คือ พวกที่ถูกพิพากษาตัดสินให้ประหารชีวิตเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ เนื่องด้วยบาปของพวกเขา เพราะพระคัมภีร์สอนแล้วว่าเราทุกคนทำผิดต่อพระเจ้า แต่ยังมีคนอีกพวกที่พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นพวกที่พระเจ้าทรงพิพากษาว่าพวกเขาปราศจากความผิดเพราะโทษของเขาได้รับการชำระแล้ว เขาไม่มีความผิดอีกต่อไป
พระเจ้าทรงพิโรธอยู่
ยังมีคำอีกคำหนึ่งในพระธรรมโรม 5:9 “เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระพิโรธโดยพระองค์” และพระธรรมโรม 1:18 กล่าวว่า
“เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ต่อความอธรรม และความไม่ชอบธรรมทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความไม่ชอบธรรมนั้นขัดขวางความจริง”
พระเจ้าทรงอธิบายถึงคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ไว้อีกอย่างหนึ่งว่า คนพวกนี้เป็นพวกที่พระองค์ทรงพิโรธอยู่ พวกนี้เป็นพวกที่เอาความไม่ชอบธรรม “ ขัดขวางความจริง “ หมายความว่าเป็นพวกที่เหนี่ยวรั้ง ความจริง ทำให้ความจริงไม่เผยแผ่ออกไป คนเหล่านี้อาจเป็นผู้รับใช้ เป็นครูสอนในโรงเรียนรวีวารศึกษา เป็นสมาชิกคริสตจักร หรือ แม้แต่ตัวศิษยาภิบาลเอง ซึ่งยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า คือขัดขวาง เหนี่ยวรั้งความจริงไว้ ไม่ให้เกิดผลบริบูรณ์ในชีวิตของพวกคุณ เพราะความจริงนั้นจะต้องมีไว้เพื่อให้เราเชื่อฟังและทำตาม ไม่ใช่แค่ให้พวกเราได้ยินได้ฟังเท่านั้น
คุณล่ะครับเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อสำรวจชีวิตตามพระบัญญัติ คุณรู้แล้วหรือยังว่าควรจะปรนนิบัติพระเจ้าอย่างไร ควรจะปรนนิบัติคนอื่น ๆ อย่างไร คุณกำลังทำสิ่งเหล่านั้นอยู่หรือเปล่า ถ้ายังไม่ได้ทำตามนั้น คุณเองก็กำลังขัดขวางเหนี่ยวรั้งความจริงไว้เหมือนกัน เพราะคุณไม่ได้สนองตอบต่อความจริงที่พระทรงสอนไว้อย่างที่ควรทำ คนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า คือคนที่ทำให้พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อำนาจ พิโรธอยู่นะครับ ถ้าอย่างนี้พวกเขาไม่ใช่แค่เป็นคนผิด ได้รับโทษเฉพาะเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้นนะครับ ชีวิตของเขาทั้งชีวิตในโลกนี้จะเป็นชีวิตที่ดำเนินไปภายใต้พระพิโรธของพระเจ้าด้วย
ชีวิตแบบนี้ก็เหมือนกับคนที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำระดับต้น ๆ นั่นแหละครับ เป็นคนที่ตำรวจต้องการตัวมากที่สุด คนแบบนี้ถ้าตำรวจเจอตัว คุณคิดว่าตำรวจจะแค่เดินเข้าไปหา ตบไหล่เบาๆด้วยความเอ็นดู แล้วพูดโอภาปราศรัยด้วยดีหรือเปล่า ไม่มีทางใช่ไหม เขาไม่ทำอะไรนุ่มนวลอย่างนี้แน่ ตรงกันข้ามตำรวจจะแห่กันมาพร้อมด้วยอาวุธครบมือล้อมคุณไว้ แล้วเอาปืนจ่อหัวให้คุณทำตามคำสั่งอย่างเดียว
เมื่อคุณไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าคุณก็อยู่ในพวกที่พระเจ้าทรงพิโรธอยู่ แม้จะรู้อย่างนี้ก็ยังมีพวกเรามากมายในโลกที่ใช้ชีวิตเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนพระเจ้าไม่ได้ทรงพิโรธพวกเขาอยู่ รอไว้ให้ถึงเวลาที่จะต้องไปอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าก่อนเถอะครับ คุณจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างที่คิด ในเวลานั้นเมื่อมองดูพระพักตร์พระเจ้าจะเห็นว่าพระองค์ไม่ทรงยิ้มให้คุณ ทรงกริ้วและมองดูคุณด้วยพระพิโรธเพราะคุณทำผิดบาปต่อพระองค์ และไม่สนใจวิธีการจัดการกับบาปที่พระองค์ทรงสอนไว้ ตอนนี้พระเจ้าทรงกำลังมองคุณอยู่ด้วยความพิโรธ แต่คุณอาจจะยังไม่รู้ตัวก็ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะครับ เป็นเรื่องที่ต้องเอาจริงเอาจังทีเดียว
เป็นที่ชอบพระทัย
แต่สำหรับคนที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระองค์ตรัสว่าพวกเขา เป็นที่ชอบพระทัย พระธรรมเอเฟซัส 1:6 กล่าวว่า “เพื่อจะให้เป็นที่สรรเสริญสง่าราศีแห่งพระคุณของพระองค์ ซึ่งโดยพระคุณนั้นพระองค์ทรงบันดาลให้เราเป็นที่ชอบพระทัย ในผู้ทรงเป็นที่รักของพระองค์” เมื่อเริ่มต้นชีวิต เราทุกคนอยู่ในสภาพของคนที่พระเจ้าทรงพิโรธ แล้วบางคนในพวกเราก็เปลี่ยนไป พวกเขากลายเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ เป็นที่ชอบพระทัยในองค์พระคริสต์ เป็นที่ชอบพระทัยนี้หมายความว่าอย่างไรหรือครับ ก็หมายความว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงต้อนรับด้วยความพอใจยินดี เป็นผู้พึงประสงค์ของพระเจ้าน่ะซิครับ
การเป็นที่ชอบพระทัยนี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงหยิบยื่นให้ พระองค์ทรงยื่นโอกาสให้เราทำตัวเป็นที่ชอบพระทัย เราจะเป็นที่ชอบพระทัย ได้อย่างไรนั้น มันขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของตัวเราเองหรือเปล่า มันขึ้นอยู่กับปริมาณคุณความดีที่เราทำกับคนอื่นหรือเปล่า ไม่ใช่ทั้งนั้น การเป็นที่ชอบพระทัยเป็นสิ่งที่คุณได้รับ การเป็นที่ชอบพระทัยคือสิ่งที่พระเจ้าทรงหยิบยื่นให้คุณโดยทางพระเยซูคริสต์
อยู่ในนรกชั่วนิรันดร
คำสุดท้ายที่พระเจ้าทรงอธิบายถึงคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระ
องค์คือคนที่จะต้องถูกแยกออกจากพระองค์ให้อยู่ในนรกชั่วนิรันดร์ พระธรรมวิวรณ์ 21:8 คือสมุดปกเหลืองบอกรายชื่อคนที่จะไปนรก
“แต่คนขลาด คนที่ไม่เชื่อ คนที่น่าสะอิดสะเอียน ฆาตกร คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้นจะได้รับส่วนของตนในบึงที่เผาไหม้ด้วยไฟและกำมะถัน นั่นคือความตายครั้งที่สอง”
บึงไฟเป็นอีกชื่อหนึ่งของนรก คนพวกที่ดำเนินชีวิตโดยไม่มีความ
สัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นคนที่หลงทาง หาทางไปพบพระเจ้าไม่ได้ พระเจ้าทรงเห็นว่าพวกเขาเป็นคนผิดบาป เป็นคนอธรรม ยังไม่ได้รับการอภัยโทษ นอกจากนี้พวกเขายังเป็นศัตรูต่อต้านพระองค์ด้วยพระเจ้าทรงตัดสินลงโทษคนเหล่านี้ไว้แล้ว ในการตัดสินลงโทษนั้นความบาปของพวกเขาทำให้พระพิโรธ และโทโสของพระองค์พลุ่งขึ้น โทษหรือพระอาชญาที่ได้รับจึงเป็นโทษหนัก พระเจ้าทรงจัดเตรียมสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่านรกไว้สำหรับพวกเขา ที่นั่นเป็นบึงไฟซึ่งแม้แต่คนโกหกก็ยังต้องตกลงไป เพียงแค่โกหกครั้งเดียวคุณมีความผิดในฐานะคนโกหกแล้ว
อยู่ในสวรรค์นิรันดร
แต่ในทางกลับกัน คนที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าจะได้อยู่ในสวรรค์นิรันดร พระธรรมหนึ่งเธสะโลนิกา 4:16-17 กล่าวว่า “ด้วยว่าองค์ผู้เป็นเจ้าของจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้น เราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ และเหลืออยู่จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ ”
พระเยซูจะเสด็จ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเสด็จมาในหมู่เรา คนที่เป็นของพระองค์จะได้ไปอยู่กับพระองค์ เราจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าในที่ที่เราเรียกกันทุกวันนี้ว่า สวรรค์ ซึ่งก็คือการได้อยู่ร่วมกับพระคริสต์นั่นเอง
เราจะทำให้ตัวเราเองไปสวรรค์ไม่ได้ ไม่ว่าเราจะทำความดีแค่ไหนก็ไม่พอที่จะช่วยตัวเราไปสวรรค์ได้เอง ทางเดียวเท่านั้นที่จะไปถึงสวรรค์ได้คือให้พระเจ้าเป็นผู้พาเราไป และเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์เท่านั้น พระองค์จึงจะพาไปถึงที่นั่น
บทสรุป
ทั้งหมดที่เราพูดมานี้สรุปลงตรงนี้ได้ว่า ยังมีคนพวกที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วย อันที่จริงพระคัมภีร์สอนเราว่า “ไม่มีใครชอบธรรมเลย ไม่มีเลยสักคน” ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีจุดเริ่มต้นอยู่ตรงด้านที่ไม่ถูกต้อง ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความบาป และไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราหลงทาง เป็นคนอธรรม ไม่ได้รับการอภัยโทษ เป็นศัตรูของพระเจ้า ถูกพิพากษาตัดสินว่ามีความผิด เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงพิโรธ และจะต้องอยู่ในนรกนิรันดร ไม่มีใครเลยสักคนที่มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าเมื่อเกิดมาในโลกนี้
แต่พระเจ้าตรัสว่าเราแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ จากฝ่ายผิดพระองค์จะทรงทำให้เราเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายที่มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ได้ คนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนี้ ทรงบอกว่าพวกเขาเป็นพวกที่ได้รับความรอด เป็นคนชอบธรรม ได้รับการอภัยโทษ ได้กลับคืนดี ได้รับการพิพากษาให้พ้นความผิด ให้เป็นที่ยอมรับ และทรงจัดเตรียมบ้านในสวรรค์ไว้ให้ สิ่งที่น่าคิดคือความถูกต้องนั้นไม่ได้เกิดจากน้ำมือของพวกเขาเอง แต่เกิดจากฤทธิ์อำนาจนอกเหนือตัวเขา ซึ่งเราจะได้เรียนกันในบทต่อไปว่าฤทธิ์อำนาจที่ว่านี้คือ พระเจ้าพระ
องค์ทรงสามารถย้ายผู้ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ให้มาอยู่ในฝ่ายที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ได้ โดยสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำบนกางเขน
ความพยายามของมนุษย์
คุณคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่เราจะพยายามหาทางให้ตัวเองมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างนั้นได้ หรือเป็นไปได้ไหมว่าคนเราจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ไปเป็นฝ่ายเดียวกันกับพระเจ้า แน่นอนมีคนไม่น้อยที่ลองหาหนทางไปถึงจุดนั้น แต่พระคัมภีร์บอกเราไว้ใน สุภาษิต 16:25 ว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราดูเหมือนถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณะ” ทางที่ดูเหมือนว่าถูกตามสายตาของมนุษย์ที่ว่านี้ก็คือ เราต้องประพฤติปฏิบัติดี ต้องมีความดี มีบุญมีกุศลมากพอแล้วเราก็จะได้ไปสวรรค์ และถ้าเราทำดีจนถึงที่สุดแล้ว พระเจ้าจะทรงมองข้ามความผิด ความเลวทั้งหลายของเรา
นี่เป็นคำโกหกหลอกลวงที่มารซาตานใส่ไว้ในหัวของเรา ถ้าคุณไม่เชื่อลองถามคนตามถนนสักสิบคนดูสิว่า พวกเขาคิดว่าคนจะไปสวรรค์ได้อย่างไร ทุกคำตอบจะต้องมีเรื่องของการทำความดีรวมอยู่ด้วยแน่ ๆ นอกเสียจากว่าคนที่ตอบเป็นคนที่รู้จักพระเจ้า และทราบว่าพระองค์ทรงสอนไว้ว่าอย่างไร และเป็นผู้ที่ได้รับความรอดแล้วเท่านั้นที่ไม่ตอบอย่างนี้
คนเราพยายามหาวิธีการต่าง ๆนา ๆ บางคนพยายามใช้วิธีการปฏิบัติตนเป็นคนดี อย่างเช่นทำดีกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผมเองก็รู้จักคนดีมากมายในโลกนี้ที่ยังไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พวกเขาจึงเป็นพวกที่พระเจ้ายังพิโรธอยู่ เขากำลังมุ่งหน้าไปนรก คนพวกนี้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแต่เขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาประกอบกรรมดีมากมายแต่เขาเป็นผู้ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์
มีวิธีการแบบไหนอีกบ้างที่ผู้คนพากันกระทำเพื่อให้ตนเองดูเป็นคนดี ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า มีบางคนที่ผมรู้จักคิดว่าการรับศีลบัพติศมา การอ่านพระคัมภีร์ หรือถวายเงินให้คริสตจักรเป็นการซื้อหนทางไปสู่สวรรค์ บางคนไปโบสถ์ ไปอธิษฐานเพราะคิดว่า “ถ้าฉันทำอะไรแบบนี้ พระเจ้าจะทรงมองข้ามความผิดต่าง ๆ ที่ฉันทำมาแน่ ๆ ”
ให้เราลองมองดูในแง่นี้นะครับ สมมุติว่าคุณถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าคนตายต้องโทษขั้นสูงสุด พอผู้พิพากษาถามคุณว่ามีอะไรจะพูดก่อนจะประกาศคำพิพากษาหรือไม่ คุณก็เดินออกไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น ตอบว่า “ขอรับท่าน ผมขออนุญาตพูดอะไรสักหน่อย ตอนนี้ผมสำนึกแล้วว่าผมเป็นฆาตกร และเชื่อว่าที่ผมทำลงไปไม่ถูกต้อง แต่เรื่องนี้มันผ่านไปห้าปีแล้ว กว่าเขาจะจับผมได้ก็นานทีเดียว เวลานี้ผมขอกราบเรียนให้ท่านทราบว่า ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมาผมประพฤติตนเป็นคนดี เป็นบุคคลตัวอย่าง และไม่ได้ฆ่าใครอีกเลย” อันที่จริงตอนที่เพื่อนบ้านผมมีปัญหาผมก็ยังเคยช่วยเหลือเขาไว้ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังเป็นอาสาสมัครทำงานในโรงพยาบาล แล้วก็เริ่มหันหน้าเข้าวัดเข้าวา สวดมนต์บทยาว ๆ ก็ได้ด้วยผมไปวัด ผมใช้เงินทำบุญทำกุศล ผมเป็นคนดีมาตลอด ทำดีกับผู้คนมากมายและผมขอสัญญาว่า ถ้าท่านปล่อยผมไปผมจะไม่ทำผิดอีกเลย
คุณคิดอย่างไร ถ้าเกิดผู้พิพากษาตอบเขาว่า “ลูกเอ๋ยเรื่องที่เล่ามาประทับใจมากจนศาลคิดว่าจะต้องปล่อยตัวเจ้าไป เจ้าทำความดีมากมาย ศาลคิดว่าสิ่งที่ทำมานั้นมากพอที่ชดเชยกับฆาตกรรมที่ก่อไว้ได้ ” ไม่มีผู้พิพากษาคนไหนจะปล่อยคนผิดให้ลวยนวลออกไปเพียงเพราะพวกเขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรรมของตน ไม่ว่าจะทำอย่างไรพวกเขาก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์สำหรับอาชญากรรมที่เขาก่อไว้
แต่สมมุติว่าคุณร้องขอต่อศาลอีกครั้งหนึ่งว่า “แต่ใต้เท้าขอรับ ได้โปรดเถิด กระผมกราบขอความกรุณาต่อศาล กระผมทราบมาว่าท่านเป็นผู้มีจิตใจเมตตากรุณา พร้อมจะยกโทษให้แก่ผู้อื่นเสมอ กราบขอความกรุณายกโทษให้ผมเถิดนะครับ”
มีผู้พิพากษาแบบไหนที่จะพูดว่า “เอาละ เราจะยกโทษให้” ถ้าพูดอย่างนี้ก็คงเป็นผู้พิพากษาอยู่ได้อีกไม่นาน วิธีการแบบนี้ใช้กับศาลสถิตยุติธรรมไม่ได้ และก็ใช้กับพระเจ้าไม่ได้เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงเป็นเจ้าแห่งความยุติธรรมด้วย พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงแต่พระเจ้าผู้ทรงเมตตาคุณเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เที่ยงตรงด้วย
เราต่างก็มีโทษผิดต่อพระพักตร์พระเจ้า เราถูกตัดสินว่าเป็นคนผิด กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังนรก ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเราทำผิดบาปมากมาย แต่มีคนไม่น้อยคิดว่า เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิต และประพฤติดี บางทีพระเจ้าอาจจะทรงอนุญาตให้ขึ้นสวรรค์ได้ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่าอย่างนี้ อย่าลืมว่าเรากำลังมองดูสิ่งต่าง ๆ ตามสายพระเนตรของพระเจ้านะครับ
พระเจ้าตรัสว่า
โรม 3:20
พระเจ้าตรัสว่าอย่างไรหรือครับ ทรงตรัสว่าเป็นไปได้ว่า ถ้าเราทำความดีมากพอเราจะเป็นคนที่ถูกต้องดีงามในสายพระเนตรอย่างนั้นหรือครับ เปล่า พระองค์ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น แต่พระเจ้าตรัสไว้ในโรม 3:20 ว่า “เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเนื้อหนังคนหนึ่งคนใดเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้าได้ โดยการประพฤติตามพระราชบัญญัติ เพราะว่าโดยพระราชบัญญัตินั้นเราจึงรู้จักบาปได้”
สมมุติว่าอาชญากรคนนั้นยืนขึ้นต่อหน้าผู้พิพากษา แล้วพูดว่า “ใต้เท้าขอรับ ท่านยังไม่เข้าใจ ผมขอเรียนว่าหลังจากผมฆ่าคนเมื่อห้าปีก่อน ผมประพฤติตัวใหม่ เป็นคนดี เชื่อฟังทำตามกฎหมายบ้านเมือง ผมศึกษากฎหมายอย่างละเอียด ระมัดระวังตัวไม่ทำผิดกฎหมายเลยแม้แต่ข้อเดียว ผมไม่เคยทำอะไรผิดอีกเลย แค่จะข้ามถนนผมยังข้ามที่ทางข้ามไม่ยอมข้ามไปเรื่อย เวลาขับรถเห็นไฟเหลืองผมก็หยุด ผมระวังทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ถ้ากฎหมายกำหนดให้ขับรถห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงผมก็ขับสี่สิบห้าเผื่อว่าเข็มกิโลผมมันอาจจะเสีย ใต้เท้าขอรับท่านยังไม่เข้าใจว่าผมเชื่อฟังกฎหมายแค่ไหน ขอท่านโปรดพิจารณาดูด้วย ผมเชื่อฟังทำตามกฎหมายมาตลอดนะครับ ” แต่ถ้าพูดถึงอาชญากรรมที่เขาก่อก่อนหน้านี้ล่ะครับไม่ว่าจะทำอะไร อย่างไรหลังจากนั้น ถ้าเขาเป็นฆาตกรฆ่าคน เขาก็ยังมีความผิดอยู่ใช่ไหมครับ
เราเช่นเดียวกันพยายามทำดีทุกอย่างทุกทางเพื่อให้พระเจ้าเลื่อม
ใส ประทับใจ แต่ความดีที่เราทำไม่สามารถชดใช้ค่าบาปของเรา การทำตามกฎบัญญัติ หรือทำดี ช่วยคนเราให้รอดไม่ได้ พระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้มีไว้เพื่อให้ปฏิบัติตามแล้วทำให้เราเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกเราว่า วัตถุประสงค์ที่พระเจ้าทรงให้พระบัญญัติไว้แก่เราไม่ใช่เพื่อให้เป็นทางนำเราไปสู่สวรรค์ แต่เพื่อให้รู้จักว่าอะไรเป็นบาป พระเจ้าทรงให้พระบัญญัติไว้เพื่อเราจะได้มองเห็นว่าการจะเป็นคนดีพร้อมสมบูรณ์ตามที่พระเจ้าทรงคาดหวังนั้นเป็นอย่างไร และถ้าเราทำผิดพระบัญญัติแม้เพียงข้อเดียว ก็เท่ากับเราทำผิดพระบัญญัติทั้งหมดด้วย
จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครคนใดคนหนึ่งจะไปสวรรค์เพราะปฏิบัติตามพระบัญญัติ พระเจ้าทรงให้พระบัญญัติไว้เพื่อให้เรามองเห็นชัดเจนว่าเราทำผิดพระบัญญัติของพระองค์อยู่ พระบัญญัติช่วยเราให้รอดไม่ได้ พระเจ้าทรงให้ไว้เพื่อให้รู้ว่าเราทำผิดอย่างไรบ้าง ทั้งคุณและผมจะหวังให้พระบัญญัติช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้
อิสยาห์ 64:6
“ข้าพระองค์ทุกคนได้กลายเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่สะอาด และการกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้นเหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก ข้าพระองค์ทุกคนเหี่ยวลงอย่างใบไม้ และความชั่วช้าของข้าพระองค์ทั้งหลายได้พัดพาข้าพระองค์ไปเหมือนลม” พระเจ้าทรงบรรยายถึงพวกเราไว้ว่าอย่างไรหรือครับ พระองค์ทรงตรัสว่าเราทุกคนเหมือนของสกปรกน่ารังเกียจ ตัวเราอาจจะป่าวร้องว่าเราทำคุณงามความดีมากมาย แต่สำหรับพระเจ้าแล้วความดีพวกนั้นเป็นเหมือนเศษผ้าโสโครกในสายพระเนตร
ตอนนี้อย่าลืมว่าเรากำลังมองสิ่งต่าง ๆ ตามสายพระเนตรพระเจ้านะครับ ถ้าอย่างนั้นพระเจ้าทรงเห็นว่าเราเป็นอย่างไร ผมบอกว่าผมเป็นคนดี ผมรับศีลบัพติศมาแล้ว ผมไปโบสถ์ ผมถวายเงิน ผมทำดีเยอะแยะ ผมทำตัวเป็นคนดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมอธิษฐาน อ่านคัมภีร์ เชื่อฟังพระเจ้า ขนาดนี้แล้วคงจะทำให้ผมเป็นคนดีพอแน่ แต่พระเจ้าตรัสว่าการดีทั้งหลายที่ผมทำเป็นเหมือนเสื้อผ้าสกปรกเท่านั้น
ให้ผมอธิบายเรื่อง เสื้อผ้าสกปรกนี้ให้ฟังสั้น ๆ นะครับ คุณจะได้มองเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าทรงกำลังพูดถึงอะไรอยู่ เสื้อผ้าสกปรกในสมัยพระคัมภีร์นั้นคือ เศษผ้าขี้ริ้วที่ใช้แขวนไว้ที่เสาต้นหนึ่งนอกเมือง สมัยนั้นคนโรคเรื้อนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมือง เพราะทั้งน้ำ
เหลืองน้ำหนองจากแผลอาจจะทำให้คนอื่นติดโรคได้ คนเหล่านั้นก็เลยใช้เศษผ้าที่แขวนไว้นอกเมืองนั้นเช็ดแผลของตน พอเช็ดเสร็จก็จะแขวนผ้าไว้ที่เสาตามเดิม ปล่อยให้ลมพัดให้แห้ง พอฝนตกลงมาสิ่งสกปรกก็จะถูกชะล้างออกไปบ้างนิดหน่อย แล้วพอคนโรคเรื้อคนอื่นผ่านมาเขาก็จะคว้าเศษผ้าชิ้นนั้นมาเช็ดแผลของตนเองต่อ คำว่าเสื้อผ้าสกปรกคือ ผ้าขี้ริ้วโสโครกใช้เช็ดแผลสาธารณะของคนโรคเรื้อนทั้งหลายในสมัยนั้นนั่นเอง
พระเจ้าตรัสว่าการดีหรือสิ่งดีทุกอย่างที่คุณทำมา ไม่ว่าจะเป็นการเป็นสมาชิกคริสตจักร การร่วมนมัสการ การถวายเงิน เป็นศิษ-ยาภิบาล เป็นพระสงฆ์ หรือเป็นครูช่วยสอนศาสนาวันอาทิตย์เหล่านี้เป็นเหมือนผ้าดังกล่าวในสายพระเนตร พระองค์ทรงเห็นว่ามันเป็นสิ่งน่าขยะแขยงอย่างนั้นนะครับ คุณค่าความดีของคุณมีค่าเทียบเท่าผ้าสกปรกชิ้นนั้นเท่านั้นนะครับ พระเจ้าตรัสว่าทรงเห็นว่าการดีหรือสิ่งดีที่คุณทำมีคุณค่าแค่เศษผ้าเช็ดแผลสกปรกโสโครก ลองคิดดูสิว่าถ้าคุณเอาเศษผ้าขี้ริ้วเช็ดแผลชิ้นนั้นกลับไปเช็ดจานชามที่บ้านมันจะเป็นอย่าง
ไร คุณคงไม่คิดจะทำอะไรอย่างนั้นแน่ ๆ ใช่ไหม แต่นี่แหละครับ คือสิ่งที่คุณนำมาเสนอขอแลกเปลี่ยนกับการได้ไปสวรรค์นะครับ คุณใช้เศษผ้าขี้ริ้วโสโครกมาเป็นใบเบิกทางอยู่นะครับ
ทิตัส 3:5
“พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ถ้าผมไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับพระเจ้า แล้วพยายามทำดีสารพัดเพื่อให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ การดีต่าง ๆ ที่ผมทำไม่สามารถช่วยให้ผมเป็นคนที่ดีงามถูกต้องในสายพระเนตรพระองค์ได้
เอเฟซัส 2:8-9
ฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้สิครับ “ซึ่งว่าท่านทั้งหลายรอดนั้น ก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเองแต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำหามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” เราต่างก็พยายามทำกิจการดีเพื่อให้พระองค์ประทับใจ ชอบใจ แต่พระเจ้าตรัสว่า “ท่านจะรอดด้วยตัวเอง หรือ การกระทำดีของตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นท่านก็จะใช้มันโอ้อวดตัวเอง”
ความดีทุกอย่างที่เป็นของโลกนี้จะไม่ช่วยคุณให้รอดได้ถ้าคุณยังทำผิดพระบัญญัติอยู่ ทำผิดเพียงจุดเดียวก็เหมือนกับทำผิดทั้งหมด ทีนี้ถ้าหากว่าคุณเคยทำผิดบาปคุณก็มีความผิด และไม่ว่าคุณจะทำคุณงามความดีสักแค่ไหนในชีวิต มันก็จะไม่ช่วยให้คุณกลายเป็นคนถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้า คุณไม่มีทางที่จะเดินอาด ๆ โอ้อวดถึงคุณงามความดีของตัวเองเข้าสวรรค์ได้ พระเจ้าตรัสว่าการกระทำของคุณจะไม่ช่วยให้คุณไปสวรรค์ได้
บทสรุป
ผมขอจบบทเรียนเล่มนี้ด้วยความหวังนะครับ เราเห็นกันชัดเจนแล้วว่ามีคนอยู่สองพวก คือพวกที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าพวกหนึ่ง และพวกที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอีกพวกหนึ่ง เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงจัดเตรียมทางให้คุณและผมเดินไปถึงความสัม-
พันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงรับสภาพมนุษย์คือทางนั้น แต่มีคนบางพวกเท่านั้นที่รู้จักและมีความสัมพันธ์กับพระองค์ มีคนแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า คนพวกนี้คือพวกที่เข้ามาหาพระเจ้าตามทางที่พระเจ้าตรัสสั่งไว้
อย่าหลอกตัวเองด้วยการคิดว่าพระเจ้าจะทรงยินยอมให้คุณเข้าสู่สวรรค์สถานได้ทั้ง ๆ ที่คุณยังอยู่ในสภาพของคนไม่ชอบธรรม หรือคนอธรรมเต็มไปด้วยบาป ให้เรามาดูกันในบทเรียนเล่มต่อไปว่าพระเจ้าทรงเปลี่ยนคุณจากคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ให้เป็นคนที่มีความสัม-
พันธ์ด้วยความรักกับพระองค์ได้อย่างไร
พื้นฐานของความรอด - คำถาม บทที่ 2
1. เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าได้ครบถ้วน ทุกประการ ถูก หรือ ผิด
2. พระเจ้าทรงมองเห็นคนเป็นสองพวก คือ
-
- คนที่ประพฤตดีและคนที่ประพฤติชั่ว
- คนที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์และคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์
- คนที่ทำบาปและคนที่ไม่ทำบาป
3. ในบรรดาคนต่อไปนี้ คนพวกไหนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า
-
- คนอธรรม
- คนหลงหาย
- คนมีความผิด
- คนชอบธรรม
4. ในบรรดาคนต่อไปนี้ คนพวก์๙ม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
-
- คนที่รอดแล้ว
- คนถูกต้องชอบธรรม
- คนที่ยังไม่ได้รับการอภัย
- คนที่ทรงยอมรับแล้ว
5. ล่วงประเวณีหมายถึง
-
- การประพฤติผิดคู่ครองของคนอื่นทางด้านจิตใจเท่านั้น
- การไหว้รูปเคารพ
- การประพฤติผิดคู่ครองของคนอื่นทางด้านร่างกายเท่านั้น
- คำนี้มีความหมายรวมถึงการประพฤติผิดคู่ครองของคนอื่นทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย
6. คนพวกไหนที่จะได้รับแผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก
-
- คนล่วงประเวณี ค. กะเทย
- คนไหว้รูปเคารพ ง. คนชอบธรรม
7. เมื่อเราทำผิดต่อคนอื่นเราจะยกโทษให้ตัวเองเพื่อจะได้พ้นผิดไม่ได้ คนที่จะยกโทษให้เราได้ต้องเป็นคนที่เราทำผิดต่อเขา
ถูก หรือ ผิด
8. พระเจ้าตรัสว่า มีคนมากมายที่ยังไม่ได้รับการอภัยโทษจากพระองค์
ถูก หรือ ผิด
9. เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงอภัยโทษบาปให้เรา
ถูก หรือ ผิด
10. ผู้ที่จะอภัยโทษบาปให้เราคือพระเจ้า พระองค์ทรงทำสิ่งนี้ให้เราได้ โดยพระ โลหิตของพระเยซูคริสต์
ถูก หรือ ผิด
11. เมื่อพระเจ้าทรงมองดูคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ทรงเห็น ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนหลงหาย คนอธรรมไม่ได้รับการอภัย และ
-
- เป็นศัตรู
- เป็นมิตร
- เป็นเพื่อนบ้าน
- ฆาตกร
- การนำคนสองฝ่ายที่ตัดขาดความสัมพันธ์กันให้กลับมาเป็นฝ่ายเดียวกันอีกครั้งหนึ่งเรียกว่า
-
- 1.การทำให้กลับคืนดี
- 2.การทำให้เป็นคนไม่มีความผิด
- การทำให้เป็นคนชอบธรรม
- การอภัยโทษ
13. การกลับคืนดีกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราทำเองได้ ถูก หรือ ผิด
14.คำไหนตรงข้ามกับคำว่า มีความผิด
-
- ชอบธรรม
- กลับคืนดี
- อภัยโทษ
- ไม่มีความผิด
15. คำต่อไปนี้คำไหนหมายความว่า พ้นโทษ
-
- ไม่มีความผิด
- เป็นที่ยอมรับ
- เป็นคนชอบธรรม
- ได้กลับคืนดี
16. เป็นไปได้ว่าการเป็นสมาชิกโบสถ์ เป็นศิษยาภิบาล ผู้รับใช้ ครู สอนรวีวารศึกษา ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พระเจ้าเห็นว่าเป็นคนชอบธรรม
ถูก หรือ ผิด
17. ความจริงไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราได้ยินได้ฟัง แต่เพื่อให้เราเชื่อฟังและ ทำตาม ถูก หรือ ผิด
18. ตราบใดที่เรายังไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ตราบนั้นเราก็ยังคงตกอยู่ใต้พระพิโรธของพระเจ้า
ถูก หรือ ผิด
19. พระเจ้าทรงทำให้เรามีโอกาสเป็นที่ยอมรับของพระองค์
ถูก หรือ ผิด
20. คนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า จะต้องอยู่ที่ไหนชั่วนิรันดร
-
- สวรรค์
- นรก
21. คนที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า จะได้อยู่ที่ไหนชั่วนิรันดร
-
- สวรรค์
- นรก
22. คุณทำดีแค่ไหนก็ไม่มีทางช่วยตัวเองให้ไปสวรรค์ได้
ถูก หรือ ผิด
23.ทางเดียวที่จะสวรรค์ได้คือให้พระเจ้าทรงนำคุณไป
ถูก หรือ ผิด
24. เฉพาะคนที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเท่านั้นที่พระองค์จะทรงนำไป สวรรค์
ถูก หรือ ผิด
25. สิ่งที่ทำให้คนมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องดีงามกับพระเจ้าได้คือ
-
- การเปลี่ยนแปลงความประพฤติของตนเอง
- ฤทธิ์อำนาจที่อยู่นอกเหนือความสามารถของตัวเราเอง