ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: 0871937157

พื้นฐานของความรอด
เล่ม 1 ใน 4 เล่ม

พื้นฐานของความรอด
คำนำ บทที่ 1


เรากำลังจะพูดกันเกี่ยวกับพื้นฐานของพระคัมภีร์ มีหลายครั้งหลายหนที่มีคนหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่านแล้วไม่เข้าใจ พระธรรมหนึ่งโครินธ์บทที่ 2 บอกเราว่า คนที่ไม่รู้จักพระคริสต์และไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของตน จะไม่สามารถเข้าใจพระคัมภีร์ได้ เพราะพวกเขาไม่รู้จักผู้แต่งจึงไม่อาจจะเข้าถึงหนังสือเล่มนี้ได้ ดังนั้นเมื่ออ่านไป  ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้รับอะไรเท่าไร 

ผมจำได้ว่าเมื่อผมเริ่มสนใจพระคัมภีร์นั้น ผมยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า แต่เพราะเคยได้ยินเรื่องพระคัมภีร์มาบ้างก็เลยตัดสินใจหยิบขึ้นมาอ่าน   ตอนนั้นไม่เข้าใจเรื่องที่อ่านเลย

  ถ้าอยากจะอ่านพระคัมภีร์ให้เข้าใจผมว่า เราต้องเริ่มต้นจากอะไรที่เป็นพื้นฐานจริง ๆ ก่อน คือต้องเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของพระคัมภีร์เสียก่อน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สมมุติว่าคุณเดินทางไปเที่ยวประเทศหนึ่งที่ยังห่างไกลความเจริญ  มีแต่ป่าแต่เขา ผู้คนไม่เคยได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนเลย ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักรถยนต์มาก่อนในชีวิต  ถ้าได้ยินคุณพูดว่า “ที่บ้านผมมีรถยนต์ขับไปไหนต่อไหน”  คุณคิดว่าพวกเขาจะเข้าใจไหมว่าคุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่ แน่นอนพวกเขาต้องไม่เข้าใจใช่ไหม

ทีนี้สมมุติว่าคุณกำลังจะอธิบายเรื่องรถหรืออะไรสักอย่างหนึ่งให้คนที่ไม่เคยรู้จักสิ่งนั้นเลยฟัง คุณจะเริ่มอย่างไรดี คุณคงไม่เริ่มด้วยรายละเอียดปลีกย่อย อย่างเช่น มีรถอยู่หลายรุ่นหลายแบบ หรือรถเป็นสิ่งที่มีอุปกรณ์เสริมเช่น เครื่องปรับอากาศ เบาะหนัง หน้าต่าง ไฟฟ้า อะไรทำนองนั้นใช่ไหม เพราะมันจะทำให้เขางงไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร แต่คุณคงจะพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นพื้นฐาน เป็นหัวใจของรถอย่างเช่น รถมีล้อ มีที่นั่ง มีเครื่องยนต์ มีพวงมาลัย มีเบรค ฯลฯ   สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่คุณต้องพูดถึงเมื่อเริ่มพูดเรื่องรถ   เพราะฟังดูมีเนื้อหาสาระสำหรับเขา

เราจะทำอย่างนี้ในการเรียนพระคัมภีร์ครั้งนี้เช่นกัน นั่นคือเราจะมาดูกันว่าพระคัมภีร์มีความจริงพื้นฐานอะไรบ้าง ที่จะช่วยให้เรามองเห็น
ภาพรวมของพระคัมภีร์ บทเรียนเล่มนี้เป็นบทเรียนพระคัมภีร์บทแรกในสี่บท แต่ละบทจะใช้เวลาอ่านประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมเองอยากกระตุ้น
หนุนใจคุณให้ทบทวนข้อพระคัมภีร์ที่เรียนมาแล้วในบท ก่อนที่จะลงมือเรียนบทต่อไป  เป็นการทบทวนความทรงจำก่อนเริ่มบทใหม่ยังไงล่ะครับ

การมองดูสิ่งต่าง ๆ ตามวิธีของพระเจ้า

ในบทเรียนบทนี้เราจะมองดูสิ่งต่าง ๆ  ตามอย่างที่พระเจ้าทรงดู ในพระธรรมซามูเอลฉบับที่ 1  มีเรื่องราวเกี่ยวกับซามูเอลซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้เขาให้ไปเจิมแต่งตั้งคนที่จะมาเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล เขาต้องเดินทางไปหาเจสซี ขอให้เรียกลูกชายทุกคนในครอบครัวออกมาพบ ซามูเอลทำตามที่พระเจ้าตรัสสั่ง เจสซีก็เรียกลูกชายออกมาแต่เขาเรียกออกมาแค่เจ็ดคนยกเว้นคนหนึ่ง  เมื่อซามูเอลเห็นเอลีอับลูกชายคนโตของเจสซี  เขาก็แน่ใจเลยว่าเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก แต่พระธรรมซามูเอลฉบับที่ 1 16:7 กล่าวว่า “แต่พระเยโฮวาห์ตรัสกับซามูเอลว่า  อย่ามองดูที่รูปร่างหน้าตาหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา  ด้วยเราไม่ยอมรับเขา  เพราะพระเยโฮวาห์ทอด
พระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู ด้วยว่ามนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรจิตใจ”

พระเจ้าไม่ทรงยอมรับเอลีอับ เพราะพระองค์ทรงเห็นลึกลงไปในจิตใจของเขาพระองค์ทรงทราบว่าเอลีอับจะเป็นกษัตริย์ที่ดีของอิสราเอลไม่ได้  ซามูเอลค่อย ๆ พิจารณาดูลูกชายเจสซีไปทีละคนตามลำดับ  แต่
ละคนดูจากภายนอกแล้วเห็นว่าหนุ่มแน่น แข็งแรง ฉลาดเฉลียว  แต่พระเจ้าไม่ทรงเลือกเอาใครเลยสักคน  ในที่สุดซามูเอลก็ถามเจสซีว่าเขายังมี
ลูกคนอื่นอยู่อีกหรือเปล่า ปรากฏว่าเจสซียังมีลูกชายอยู่อีกคนหนึ่ง ชื่อดาวิด กำลังออกไปเลี้ยงแกะอยู่ เจสซีก็ให้คนไปตามเขามา ทันทีที่ดาวิดเดินเข้ามาพระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า  “จงลุกขึ้นเจิมตั้งเขาไว้ เพราะเป็นคนนี้แหละ” พระเจ้าทรงอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ในพระธรรมข้อที่เจ็ด มุมมองของพระเจ้าต่างจากมุมมองของเรา พระเจ้าไม่ทรงมองจากรูปลักษณ์ภายนอก ทรงมองลึกลงไปในจิตใจ พระองค์ทรงรู้จักเนื้อแท้ภายในใจคน

แต่มนุษย์เรามักจะตัดสินคนตามรูปร่างหน้าตาตลอดจนการพูด
จาของเขา  เราตัดสินจากท่าทางภายนอกตามที่ตาเรามองเห็นทั้ง ๆ  ที่เราไม่รู้ว่าใจจริงของเขาเป็นอย่างไร

พี่เจ็ดคนแรกที่เจสซีพบไม่สมควรเป็นกษัตริย์เพราะเหตุผลบาง
อย่าง แต่พระเจ้าทรงทราบว่าดาวิดคือคนคนนั้น ที่เหมาะจะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล

เราจะเรียนบทเรียนบทนี้ไปพร้อมกับการมองดูสิ่งต่าง ๆ ตามอย่างพระเจ้า ดูว่าพระองค์ทรงมีมุมมองอย่างไร และการที่ทรงมีมุมมองอย่างนั้นมีผลต่อเราที่เป็นมนุษย์อย่างไร สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานของเรื่องที่เราจะพูดถึงต่อไปทุกเรื่อง

เผชิญหน้ากับพระเจ้า

ท้ายที่สุดเราทุกคนก็ต้องไปอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เราจะต้องเผชิญหน้ากับพระองค์และตอบคำถามของพระองค์ วันหนึ่งคุณก็ต้องตาย ไม่ช้าก็เร็วร่างกายของเราก็จะสูญสิ้นไป ต้องตายอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง บางคนอาจตายช้า บางคนตายเร็ว แต่ทุกคนต้องเผชิญกับมัน

พระคัมภีร์สอนเราว่า เราจะต้องยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าทุกคนไม่วันใดก็วันหนึ่ง พระธรรมโรม 14:12 บอกเราว่า “ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า” วันหนึ่งคุณจะต้องยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า ในเวลานั้นคุณจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระองค์  พระเจ้าจะทรงตั้งคำถามสำคัญ ๆ และจริงจังเกี่ยวกับสิ่งเกิดขึ้นในชีวิตคุณ และคุณก็จะต้องทูลเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของคุณตลอดจนวิธีการดำเนินชีวิตของคุณต่อพระองค์ 

  ผมไม่ทราบว่าคุณรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับตัวผมเองตอนที่ยังเป็นนักเรียนไม่ชอบไปสอบเลย เมื่อไรที่มีสอบผมจะตายเสียให้ได้ วันสอบเป็นวันที่ผมเกลียดมาก แต่ผมรู้ว่ายังไง ๆผมก็หนีมันไม่พ้นเเละเพราะรู้อย่างนี้ผมก็เลยต้องเข้าห้องเรียนฟังและจดจำสิ่งที่ครูสอน

คนส่วนมากไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการสอบไล่ครั้งสุดท้ายเมื่อชีวิตของตนเองสิ้นสุดลง พวกเขาไม่ค่อยสนใจว่าจะต้องไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า ความจริงคนส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักไม่ค่อยอยากคิดถึงเรื่องตายสักเท่าไร แต่พระเจ้าตรัสว่าวันหนึ่งทุกคนจะต้องยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์และทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระองค์

พระธรรมโรม 2:2 กล่าวว่า “แต่เรารู้แน่ว่า การที่พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้นก็เป็นตามความจริง”  เมื่อเรายืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เราจะถูกตัดสินพิพากษาตามความจริง ผมไม่รู้ว่าคุณเคยคิดเรื่องความยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมนี้ว่าอย่างไร หลายครั้งหลายหนที่เราเห็นว่าการโกหกทำให้คนบางคนเอาตัวรอดไม่ถูกลงโทษทั้ง ๆ ที่ทำผิดจริง อาจจะไม่มีใครรู้ความจริงแต่ไม่ใช่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรู้แน่ว่าอะไรเป็นอะไร และเมื่อทรงพิพากษาตัดสินก็จะทรงตัดสินจากความจริงเท่านั้น

  ทั้งคุณและผมเมื่อยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เราจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงตัดสินเราจากสิ่งที่มองเห็นด้วยตา และจะไม่ทรงให้มีการลงคะแนนออกเสียงกันว่าผิดหรือถูก จะไม่มีคณะลูกขุนมาพิจารณาตัดสิน ความจริงเท่านั้นคือสิ่งที่จะทรงใช้พิพากษาตัดสินเรา นี่สิน่ากลัวนัก เพราะความจริงไม่เปิดโอกาสให้เรามากนัก มันสั้นแคบและตรงไปตรงมา ถ้าตัดสินกันด้วยความจริงแล้วละก็ เราต้องรับโทษกันหมดทุกคนแน่ ๆ ไม่มีใครช่วยเราได้และเราจะไม่มีข้อแก้ตัวอะไรเลย

  พระธรรมยอห์น 17:17 บอกให้รู้ว่าเราจะหาความจริงได้จากที่ไหน พระเยซูตรัสไว้ในพระธรรมข้อนี้ว่า   “ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริงของพระองค์ พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” เท่าที่เรียนผ่านมานี้สรุปได้ว่าเราได้เรียนรู้ความจริงสามข้อด้วยกันคือ พระเจ้าทรงบอกเราว่าวันหนึ่งเราทั้งหลายต้องไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ เมื่อเราอยู่ตรงนั้น ในเวลานั้นเราต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระองค์ และท้ายที่สุดเราจะต้องถูกพิพากษาตัดสินตามพระคำหรือพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเป็นความจริง

ความจริง = พระคัมภีร์  

พระธรรมยอห์น 17:17 บอกให้เรารู้ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง พระเจ้าทรงบอกเราว่าพระคัมภีร์คือความจริงที่ทรงมอบให้แก่เรา พระธรรม 2 ทิโมธี 3:16 -17 เขียนไว้ว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในเรื่องความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะดีรอบคอบ พรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” พระคัมภีร์บอกเราว่าพระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า  คำว่า “ดลใจ” นี้ตามรากภาษาเดิมหมายถึงลมหายใจของพระเจ้า ถ้อยคำที่ผมเปล่งออกมาเป็นคำพูดที่เกิดจากลมหายใจของมนุษย์ ผมขับลมหายใจออกมาจึงเกิดเป็นถ้อยคำ ถ้อยคำในพระคัมภีร์ไม่ใช่ลมหายใจของมนุษย์ แต่เป็นถ้อยคำที่เกิดจากลมหายใจของพระเจ้า พระองค์ตรัสว่าวันหนึ่งเราจะถูกตัดสินพิพากษาตามความจริง และความจริงที่ว่านั้นก็คือพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ตอนนี้พระเจ้าทรงบอกเราว่า พระคัมภีร์ก็คือพระองค์เองที่กำลังทรงพูดอยู่กับเรา

พระธรรม 2 เปโตร 1:21 กล่าวว่า “ด้วยว่า คำพยากรณ์ในอดีตนั้นไม่ได้มาจากความประสงค์ของมนุษย์ แต่พวกผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้กล่าวคำตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา” พระคัมภีร์บอกเราว่าคนไม่ได้เขียนพระวจนะขึ้นตามใจคิดของตัวเอง แต่เขียนข้อ
ความต่าง ๆ เหล่านั้นตามใจปรารถนาของพระเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้ดลใจให้เขียน

ถ้าอย่างนั้นเราทราบได้อย่างไรว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าจริง ๆ  และไม่ใช่งานเขียนของมนุษย์ที่อ้างว่าเป็นของพระเจ้า ให้เรามาดูหลักฐานบางอย่างที่ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นความจริงด้วยกัน พระคัมภีร์ตั้งแต่พระธรรมปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ ประกอบด้วยหนังสือ 66 เล่ม เราอาจพูดได้ว่าพระคัมภีร์เป็นเหมือนคลังบรรจุหนังสือจำนวน 66 เล่มซึ่งมีผู้เขียน 44 คน รวมกันไว้เป็นเล่มเดียว ทั้ง 44 คนนี้มีชีวิตอยู่และเขียนสิ่งที่พระเจ้าทรงดลใจให้เขียนในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน รวมเป็นระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณหนึ่งพันหกร้อยปี คนเหล่านี้นอกจากจะไม่เคยพบเห็นกันเลยแล้ว ส่วนมากพวกเขาก็ยังไม่เคยอ่านงานเขียนของกันและกันด้วย แต่เมื่อเอาหนังสือแต่ละเล่มมารวบรวมไว้เป็นเล่มเดียวกันปรากฏว่าเนื้อหาหนังสือทุกเล่มสอดคล้องต้องกันอย่างสมบูรณ์ 

เนื้อหาของพระคัมภีร์ทุกเล่มตั้งแต่พระธรรมปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลยแม้แต่น้อย ถ้าเราหยิบหนังสืออื่นเช่นหนังสือวิทยาศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ขึ้นมาอย่างละสักสองเล่ม จะเห็นว่ามันต้องมีอะไรที่ขัดแย้งกัน แต่สำหรับพระคัมภีร์ทั้งหมด 66 เล่ม มีผู้เขียน 44 คน  มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานานกว่า 1600 ปี  แต่ละคนมีความรู้และที่มาที่ไปแตกต่างกันไปมากมายหลายแบบ แต่คนเหล่านี้ยังมีความคิดเห็นสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน และที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะพวกเขาได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกันของพระเจ้าให้เขียนนั่นเอง

  หรือจะลองดูเรื่องความสัตย์ซื่อของผู้เขียนด้วยก็ได้ เป็นผมถ้าต้องเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง ที่มีชื่อของตัวเองปรากฏอยู่ และรู้ว่าหนังสือเล่มนั้นจะต้องเป็นหนังสือสำคัญศักดิ์สิทธิ์ ผมจะไม่ยอมเขียนความผิดบาปของตัวเองลงไปในหนังสือเล่มนั้นแน่ ๆ ยังไง ๆ ผมก็ต้องปิดบังไว้บ้าง แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อในเรื่องของตัวเอกหรือคนสำคัญ ๆ ของพระองค์ในพระคัมภีร์ด้วย พระองค์ให้พวกเขารักษาสัตย์ เห็นได้ว่าแม้แต่ตัวเอกที่สุดในพระคัมภีร์ก็ยังมีจุดอ่อนในชีวิต พระเจ้าทรงบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาตามจริง ผู้เขียนพระคัมภีร์จึงเขียนถึงเรื่องราวในชีวิตของตนเองและคนอื่น ๆ ตามความจริงเช่นเดียวกัน 

ทีนี้ให้เราลองพิจารณาเรื่องคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ดูบ้าง ผู้พยากรณ์หรือผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์ คือคนที่นอกจากจะนำความจริงมาประกาศให้คนอื่นได้ทราบแล้ว พวกเขาก็ยังบอกหรือพยากรณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยเป็นครั้งเป็นคราว ไม่ว่าจะเป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ที่จะเสด็จมาบังเกิดในสี่ร้อยปีหน้า หรือประเทศที่จะเสด็จมาครอบครองเมื่อทรงเติบโตขึ้น มันเกิดขึ้นและเป็นจริงตามนั้นอย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยนะครับ ตัวอย่างคำพยากรณ์อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นจริงอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกันก็เห็นจะเป็นเรื่องของเมืองเมืองหนึ่งที่มีคำพยากรณ์ว่าจะถูกทำลายลง ตลอดจนจะถูกทำลายและจะถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างไรบ้าง เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นจริงตามนั้นหมด มีคำพยากรณ์ทำนองนี้เขียนไว้นับเป็นร้อย ๆ เรื่อง ทุกเรื่องเกิดขึ้นและเป็นจริงอย่างที่พยากรณ์ไว้ไม่ผิดเลย

  ในพระธรรม 2 เปโตร 1:19 บอกว่า “และเรามีคำพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก” เปโตร ผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้เป็นผู้ที่ได้เห็นพระกายของพระเยซูเปลี่ยนไปเมื่อทรงรับเกียรติและสง่าราศีจากพระเจ้าบนภูเขาซึ่งโมเสสและเอลียาห์ก็อยู่ด้วย ภาพที่เขาเห็นคงเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง แต่เขากลับตระหนักว่าสิ่งที่มั่นคง แน่นอนและมีฤทธิ์อำนาจมากกว่าสิ่งที่ตาเขาเห็นหรือการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นคือ พระวจนะของพระเจ้าที่เขียนขึ้นเป็นตัวอักษร นั่นเป็นมุมมองพระวจนะอย่างเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงมอง เป็นการมองเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และความจริงหรือพระคัมภีร์นี้เองที่พระเจ้าจะทรงใช้พิพากษาตัดสินคุณและผมในวันใดวันหนึ่ง

พระบัญญัติ -- อพยพบทที่ 20

  เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว ให้เราลองถามตัวเองดูว่าพระเจ้าจะทรงพิพากษาตัดสินเราอย่างไร  พระเจ้าทรงเห็นว่าเรื่องอะไรสำคัญที่สุด  ลองเปิดไปดูหนังสืออพยพบทที่ 20 แล้วเราจะเห็นธรรมบัญญัติหรือข้อกฎหมายของพระเจ้า พระคัมภีร์สอนเราว่าพระเจ้าเป็นองค์บริสุทธิ์ และเพราะความบริสุทธิ์นี้เองพระองค์จึงทรงกำหนด ธรรมบัญญัติไว้แก่เราในพันธสัญญาเดิม ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 613 ข้อด้วยกัน ธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมนี้แบ่งออกเป็นสามหมวด คือหมวดการปกครองประชาชนซึ่งเกี่ยวกับการปกครองประเทศ เป็นกฎหมายหรือธรรมบัญญัติเพื่อการปกครองชนในชาติหมวดหนึ่ง 

หมวดที่สองเป็นกฎหมายหรือธรรมบัญญัติในการประกอบพิธี-กรรมการถวายสัตวบูชาและเครื่องบูชาต่อพระเจ้า ธรรมบัญญัติในหมวดนี้เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมในชีวิตประจำวันของชนชาติอิสราเอล 

นอกจากนั้นก็เป็นหมวดศีลธรรม ให้เราเห็นว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างไร มีอะไรที่มนุษย์ควรทำหรือไม่ควรทำ ชีวิตแบบไหนเป็นชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย

ไม่เคยมีใครลบล้างธรรมบัญญัติได้ แม้แต่พระเยซูก็ทรงบอกไว้ใน พระธรรมมัทธิว 5:17 ว่า “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะทำลายพระ
ราชบัญญัติหรือคำของศาสดาพยากรณ์เสีย เรามิได้มาเพื่อจะทำลาย แต่มาเพื่อจะให้สำเร็จ” พระราชบัญญัติยังคงมีผล ไม่เคยถูกยกเลิก พระ
ราชบัญญัตินี้ยังคงเป็นกฎหมายที่พระเจ้าจะทรงใช้เพื่อพิพากษาตัดสินชีวิตคุณและผม และยังคงใช้อยู่จนทุกวันนี้ วันหนึ่งเมื่อทั้งชายและหญิงจะต้องไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า พระองค์จะทรงใช้พระราชบัญญัตินี้พิพากษาตัดสินคนที่ยังไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ เวลานี้พระเจ้าทรงขมวดพระบัญญัติทั้ง
613 ข้อลงเหลือเพียงข้อสำคัญ 10 ข้อ ซึ่งเราจะศึกษากันต่อไป พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระบัญญัติ 10 ประการ และมีเขียนไว้ในหนังสืออพยพบทที่ 20 

  1. อย่ามีพระอื่นใด

พระเจ้าตรัสพระบัญญัติ 10 ประการข้อแรกไว้ใน พระธรรมอพยพ 20:3 ว่า “อย่ามีพระอื่นใดนอกเหนือจากเรา” พระเจ้าทรงบอกเราว่า เราต้องไม่มีพระอื่นนอกจากพระองค์ เมื่อพระเจ้าตรัสว่าอย่ามีพระอื่นใด พระเจ้าทรงหมายความว่าอย่างไร ทรงหมายความว่าเราต้องไม่ให้ใคร หรืออะไร เข้ามาอยู่เหนือชีวิตเรานอกจากพระองค์ พูดอีกอย่างก็คือพระองค์ปรารถนาให้เราวางพระองค์ไว้เหนือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตทั้งของคุณและของผม

ลองคิดดูว่าถ้าเราแต่งงาน แล้วคู่แต่งงานของเรามีคนอื่นเราจะยอมไหม คงจะไม่ใช่ไหมครับ ตัวคุณเอง คงจะหึงหวงมากถ้ารู้ว่าคู่แต่งงานของคุณปันใจให้คนอื่น คุณมีคู่แข่งแย่งชิงความรักของคุณไป พระเจ้าตรัสว่าทรงปรารถนาความรักของคุณ ไม่ทรงต้องการให้คุณมีพระเจ้าอื่นใดในชีวิตคุณนอกจากพระองค์

ถ้าผมตั้งคำถามคุณตามหลักการที่ว่านี้ว่า ถ้าคุณมองย้อนกลับไปจากเดี๋ยวนี้จนถึงตอนที่เป็นเด็ก คุณพูด ได้เต็มปากหรือเปล่าว่าคุณรักพระเจ้าจนหมดทุกอณูของชีวิตสม่ำเสมอตลอดมา คุณรักพระองค์จนหมดสิ้นทั้งกายและใจ หรือเปล่า คุณพูดอย่างนี้ได้เต็มปากไหม สำหรับผมคงไม่ได้ ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนบอกว่าเขารักพระเจ้ามากกว่าใคร ๆ หรืออะไรทั้งหมดตลอดเวลาสม่ำเสมอได้ คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ต่างก็พยายามแสวงหาบางสิ่งบางอย่างไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสิ่งของมาเติมชีวิตตัวเองให้เต็มอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าไม่เคยทรงบอกให้ทำอย่างนั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีทางทำให้เราเต็มอิ่มทั้งกายและใจได้ 

2. อย่าทำรูปเคารพ

ลองดูพระบัญญัติประการที่ 2 ในข้อ 4 “อย่าทำรูปเคารพสลักสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน”

ในที่นี้พระเจ้าทรงพูดถึงรูปเคารพ คนบางคนอาจจะบอกว่าเขาไม่มีรูปเคารพ รูปปูนหรือรูปปั้นอะไรไว้กราบไหว้บูชาหรืออธิษฐานขอทั้งนั้น แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงพูดถึงรูปเคารพหรือรูปปูนรูปปั้นต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างและมองเห็นด้วยตาอย่างที่มีอยู่ตามบ้านเท่านั้น ตามพระธรรมโรม 1:21-25 พระองค์ตรัสถึงพระเจ้าที่เราสร้างขึ้นเองในใจ ให้เป็นพระเจ้าอย่างที่เราต้องการ คนไม่น้อยที่มีพระเจ้าที่เขาคิดสร้างขึ้นมาเอง เป็นพระเจ้าที่ทำตามใจต้องการของตัวเอง เป็นพระเจ้าอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น

ลองคิดตามนี้ต่อไปอีกหน่อยนะครับ พระเจ้าตรัสว่า “เราไม่ต้องการให้มีพระเจ้าอื่นใดอยู่เหนือเรา ไม่ต้องการให้เจ้ารักใครหรืออะไรมากไปกว่าเรา เราไม่ต้องการให้เจ้ามีพระเจ้าที่เจ้าคิดประดิษฐ์ขึ้นมาเอง”  แต่คนเราก็ยังคงคิดประดิษฐ์พระเจ้าขึ้นมาอีกมากมาย 

บางคนอาจจะมีพระดี ๆ ของตัวเอง ก็ได้ เป็นพระเจ้าที่มีจิตใจดี และงดงามมาก จนปล่อยให้ผู้คนทำอะไรต่ออะไรตามใจตัวเอง เพราะอย่างนั้นคุณก็เลยดำเนินชีวิตไปเรื่อย ๆ ตามสบายใจตัวเอง เมื่อต้องตายและไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าองค์นั้น พระองค์ก็จะทรงแค่บอกคุณว่า “ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ช่างมันเถอะ ก้าวเข้ามาในนี้เลย ”  คนอเมริกันส่วนใหญ่มักจะคิดว่าพระเจ้าของตนเป็นอย่างนี้

บางคนเมื่อต้องการอะไรบางอย่างก็จะบอกพระเจ้าทำนองว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังอธิษฐานขออยู่ ข้าพระองค์ต้องการสิ่งนี้ พระองค์ต้องให้ข้าพระองค์นะ” พอพระเจ้าไม่ทำตามที่เขาสั่ง พวกเขาก็โกรธไม่พอใจ

หรืออย่างบางคนมีญาติพี่น้องเจ็บป่วย ก็จะบอกพระเจ้าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้กับคนเจ็บ และถ้าพระเจ้าไม่ทรงทำตามใจเขา เขาก็จะโกรธพระองค์

คุณเคยเป็นอย่างที่พูดมานี้บ้างหรือเปล่า เวลาเราทำอะไรอย่างที่คนพวกนี้ทำ ก็หมายความว่าเรากำลังสร้างพระเจ้าให้เป็นรูปแบบ หรือรูปเคารพตามใจชอบของเราเอง พระเจ้าทรงบอกไว้ในพระวจนะของพระองค์ว่าห้ามทำอย่างนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเราแต่ละคนก็เคยทำผิดในเรื่องนี้มาแล้วทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย

3. อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอย่างไร้ประโยชน์

ดูพระบัญญัติประการที่ 3 ในข้อที่ 7 “อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอย่างไร้ประโยชน์ เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไร้ประโยชน์นั้น พระเยโฮวาห์จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้”

คนไม่น้อยเข้าใจว่าพระบัญญัติข้อนี้ห้ามใช้พระนามด่าว่าสาปแช่ง ที่คิดอย่างนั้นก็ถูกทีเดียว เพราะพระบัญญัติประการนี้ห้ามออกพระนามพระเจ้าอย่างไม่สมควร ถ้าใครทำก็หมายความว่าเขาทำผิดพระบัญญัติ

แต่มองให้ลึกลงไปอีกหน่อย “พระเจ้าตรัสว่าอย่าออกพระนามพระเจ้าอย่างไม่สมควร” คำว่าไม่สมควรไม่ได้หมายความแค่ ดูหมิ่นดูถูกพระเจ้า หรือเอาพระนามมาใช้แช่งด่า แต่หมายถึงพูดพระนามพระองค์พล่อย ๆ ไม่จริงจัง เอาพระนามมาล้อเลียน อย่างเช่น “พระเจ้าบอกนะเนี่ยะ” หรือ “พระเจ้าก็ทำอย่างนั้น” หรือ  “พระเจ้าก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกัน” หรือ  “พระเจ้าบอกให้ผมทำนี่” ตลอดจนถึงการร้องเพลงที่มีพระนามของพระเจ้าโดยที่ใจไม่ได้จดจ่ออยู่ที่คำร้อง หรือเวลาอธิษฐานปากก็พูดปาว ๆ แต่ใจไม่ได้จดจ่อที่พระองค์เลย อย่างนี้แหละที่เรียกว่าออกพระนามพระเจ้าอย่างไม่สมควร

ชาวยิวจะระมัดระวังมากในเรื่องนี้ เมื่อพวกธรรมาจารย์จะเขียนพระนามพระเจ้า พวกเขาจะต้องล้างมือก่อนแล้วจึงใช้ปากกาที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษด้วยขนนกเขียน เมื่อเขียนเสร็จก็จะไปล้างมืออีกครั้งหนึ่ง พวกเขาระมัดระวังเรื่องพระนามของพระเจ้ามาก ถือเป็นสิ่งที่เคารพอย่างยิ่ง

ทุกวันนี้เราไม่เอาจริงเอาจังกับพระนามมากนัก เราเอาพระนามมาพูดเป็นเรื่องตลก เรามีรายการตลกล้อเลียนพระเจ้าในโทรทัศน์ เราไม่ให้ความสำคัญกับพระนามของพระองค์ พระคัมภีร์บอกว่าเรามีความผิดเพราะไม่ทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า เราออกพระนามของพระองค์อย่างไม่สมควร

ตรวจสอบชีวิตตัวเองในเรื่องนี้แล้วเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้างครับ ไม่ค่อยดีสักเท่าไรใช่ไหมครับ แต่เมื่อเรายืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าสิ่งเหล่านี้แหละที่พระองค์จะทรงสอบถามเรา เราจะต้องทูลเรื่องราวเหล่านี้ให้พระองค์ทรงทราบ พระเจ้าจะทรงตรวจสอบเราในด้านนี้ และเราก็จะถูกพิพากษาตัดสินว่ามีความผิดเพราะไม่ได้ทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า 

4.  วันสะบาโต 

และเรายังมีพระบัญญัติประการที่ 4 ซึ่งพระเจ้าตรัสไว้ในข้อแปดว่า “จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์” ตามธรรมบัญญัติของชาวยิว วันสะบาโตตรงกับวันเสาร์ จุดประสงค์ของวันสะบาโตไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นวันพักผ่อน ไม่ต้องทำงานทำการอะไร ไม่ใช่วันที่ไม่ต้องรีบร้อน เอาแต่กินและดื่มหาความสุข แต่วันสะบาโตมีไว้เพื่อให้เป็นวันบริสุทธิ์ เป็นวันที่เราจะวางภาระหน้าที่ต่าง ๆลง เพื่อจะได้ใช้เวลาใช้แรงในการอธิษฐาน นมัสการพระเจ้า นี่ต่างหากที่เป็นวัตถุประสงค์ของวันสะบาโต ทุกวันนี้เราไปนมัสการกันในวันอาทิตย์เพราะพระเยซูทรงฟื้น

คืนพระชนม์ขึ้นจากอุโมงค์ฝังศพในวันอาทิตย์ แต่พันธสัญญาใหม่บอกเราไว้ในพระธรรมโรม 14:5-8 ว่า ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะถือว่าวันใดวันหนึ่งเป็นวันดีสำหรับถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดย
เฉพาะ หรือเลือกถวายเกียรติแด่พระองค์ทุกวันก็ตาม พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราถวายเกียรติแด่พระองค์จนหมดสิ้นทั้งชีวิต และจิตใจ วันเวลาทั้งหมดที่เรามีอยู่ล้วนแต่เป็นของพระองค์ เราต้องมอบแด่พระองค์ พระธรรมฮีบรู
10:25 สอนเราว่าอย่าขาดการประชุมร่วมกับคนอื่น ๆ ในคริสตจักร

เคยไหมที่บางครั้งเราชวนใครสักคนหนึ่งไปคริสตจักรในวันอาทิตย์ แล้วเขาบอกเราว่า “แหม มันเป็นวันเดียวที่ได้พักผ่อน”  การพูดว่าวันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อน อย่างนี้ไม่ถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้า เพราะความจริงแล้ววันอาทิตย์เป็นวันที่พระเจ้าทรงตั้งไว้เพื่อให้เราวางมือจากการงานของตน จะได้แสวงหาพระเจ้าจนหมดใจ คุณเองพูดได้เต็มปากไหมว่าคุณได้แสวงหาพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ อย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งวัน คุณอุทิศเวลาให้แก่พระองค์ทุกวันหรือเปล่า คุณมอบเวลาให้แก่พระเจ้าหรือใช้มันตามใจตัวเอง

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราจะต้องกราบทูลพระองค์ในวันหนึ่งข้างหน้า เท่าที่ผ่านมาคุณทำได้ดีแค่ไหนครับ

5.  จงให้เกียรติแก่บิดามารดา 

พระบัญญัติประการที่ 5 อยู่ในข้อ 12 “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮ-วาห์พระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า” คำว่าให้เกียรติหมายความว่าเคารพยกย่องซึ่งลึกกว่าคำว่าเชื่อฟัง เช่น ถ้าแม่บอกเราให้เอาขยะไปทิ้ง แล้วเราทำตามที่ท่านบอก ถือว่าเราเชื่อฟังท่านแต่ไม่ได้หมายความว่าเราให้เกียรติท่านที่ทำอย่างนั้น การที่เราจะให้เกียรติพ่อแม่คือ เราเอาขยะไปทิ้งด้วยความเต็มใจก่อนที่ท่านจะบอกหรือสั่ง การให้เกียรติพ่อแม่หมายความว่า เราไม่ฉุนเฉียว ไม่บ่นว่า ไม่รู้สึกหนักใจแต่มีความรู้สึกที่ดีเมื่อเอาขยะไปทิ้ง

ที่ผ่านมาคุณเคยบ่นว่าพ่อแม่บ้างหรือเปล่า คุณให้เกียรติท่านเสมอ เพราะท่านเป็นผู้สมควรได้รับเกียรติตามพระวจนะหรือเปล่า พระบัญญัติของพระเจ้าบอกให้เราให้เกียรติพ่อแม่ ถ้าเราไม่ได้ทำตามก็หมายความว่าเราทำผิดพระบัญญัติ

  1. อย่าฆ่าคน 

พระบัญญัติประการที่ 6 ในข้อ 13 คือ “อย่าฆ่าคน” คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าไม่เคยฆ่าใคร พระเยซูทรงอธิบายตีความและให้มุมมองใหม่แก่เราในเรื่องนี้อีกในพระธรรมมัทธิว 5:21-22 ว่า ถ้าใครโกรธพี่น้องของตน คนนั้นก็จะต้องถูกพิพากษาลงโทษด้วย

  คุณเคยโกรธใครสักคนไหม เคยโกรธคนที่ขับรถปาดหน้ารถคุณตามถนนหรือเปล่า พระเยซูตรัสว่า การโกรธคือการฆ่าคนในใจ คนที่ทำอะไรให้คุณโกรธนั้น ถ้าลองเขาทำอย่างที่ทำกับคนอื่น คุณคงจะไม่โกรธเขาขนาดนั้นใช่ไหมครับ นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเราทุกคนมีความรู้สึกเห็นแก่ตัวอยู่ในตัวทั้งนั้น และพระเจ้าตรัสว่าเราฆ่าคนเหมือนกัน

คุณอาจจะกำลังคิดในใจว่า “ก็เป็นอย่างนี้กันทุกคน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย”  ถูกต้องครับ เราทุกคนเป็นอย่างนี้ และเราทุกคนทำผิดในเรื่องนี้ แต่ความจริงก็คือ เมื่อเรายืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ พระเจ้าทรงเป็นองค์บริสุทธิ์นะครับ 

เป็นอย่างไรครับ ตอนนี้คงพอจะมองออกแล้วใช่ไหมครับว่า พระเจ้าทรงมองดูท่าทีความคิดในใจคุณและผมอย่างไร และอะไรคือสิ่งที่พระองค์ปรารถนาจะเห็นในตัวเรา 

7.  อย่าล่วงประเวณี 

พระบัญญัติประการที่ 7 อยู่ในข้อ 14 “อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา” คุณอาจจะคิดว่าคุณผ่านไปได้ในเรื่องนี้ เพราะมีภรรยาหรือสามีเพียงคนเดียว แต่ลองฟังสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ใน พระธรรมมัทธิว 5:27 นี่สักหน่อย พระองค์ตรัสว่า ถ้าคุณมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ก็เท่ากับว่าคุณได้ล่วงประเวณีในหญิงนั้นแล้วนะครับ 

คูณเคยมองดูเพศตรงข้ามแล้วคิดอะไร ๆ ซุกซนสกปรกกับเขาหรือเปล่า ไม่ว่าคุณจะอายุมากน้อยแค่ไหน ผมว่าคุณคงจะเคยทำผิดในเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ถ้าอย่างนั้นตามที่พระเยซูตรัสคุณก็เป็นคนล่วงประเวณีด้วย

8.  อย่าลักทรัพย์ 

พระบัญญัติประการนี้อยู่ในข้อ 15 “อย่าลักทรัพย์” คุณอาจจะคิดว่าคุณไม่ใช่ขโมย แต่คุณเคยหยิบอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนอื่น อย่างเช่นคลิ้ปหนีบกระดาษโดยที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตหรือเปล่า คุณเคยเอายางรัดของ หรือดินสอ หรือปากกาของใครไปหรือเปล่า มีใครบ้างไม่เคยทำ แต่พระคัมภีร์บอกเราว่า “ อย่าลักทรัพย์ ”  นะครับ

พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเราว่า “ เออ ถ้ามันมีค่าไม่ถึงสลึงหนึ่งก็ไม่เป็นไรนะ ”  คุณครูคนหนึ่งเคยบอกลูกศิษย์ว่า   “ ถ้ามันราคาสักแค่สลึงเดียวก็ไม่น่าจะถือว่าผิดนะ ”  พูดอย่างนี้หมายความว่าผมสามารถจะขโมยเหรียญสลึงจากคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง แล้วก็ไม่มีความผิดอะไรใช่ไหมครับ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงคิดอย่างนี้นะครับ พระคัมภีร์ไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย คุณเคยหยิบเอาของของคนอื่นไปเป็นของตัวหรือเปล่า ถ้าเคยก็หมายความว่าคุณทำผิดพระบัญญัติข้อ 8 นี้แล้ว และเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าก็ต้องมีความผิดนะครับ

9.  อย่าเป็นพยานเท็จ

พระบัญญัติประการที่ 9 นี้อยู่ในข้อ 16 “อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน” การเป็นพยานเท็จคือการพูดโกหก คุณเคยโกหกบ้างไหม เราต่างก็ทำผิดเรื่องนี้กันทุกคน ไม่มากก็น้อย มนุษย์เราไม่ว่าจะเป็นใครต้องเคยโกหกอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต เราทุกคนทำผิดพระบัญญัติประการนี้ 

คนที่เป็นพยานเท็จไม่ใช่แค่คนที่พูดโกหกหน้าตาเฉยเท่านั้น แต่คนที่พูดกำกวมให้คนอื่นเข้าใจผิดก็เป็นคนโกหกด้วย คุณเคยพูดความ-จริงแค่ครึ่งเดียวเพราะรู้ว่าถ้าพูดความจริงทั้งหมดแล้วจะเดือด
ร้อนหรือเปล่า หรือไม่ก็พูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เพื่อให้คนอื่นเข้าใจตามที่คุณอยากให้เขาเข้าใจหรือเปล่า เราโกหกกันบ่อยจนคิดว่าไม่เป็นอะไร คุณเคยชมใครว่าดูดีทั้ง ๆ ที่ใจไม่ได้คิดอย่างนั้นหรือเปล่า เคยชมใครว่าแต่งตัวสวยทั้ง ๆ ที่ในใจคิดว่าไม่เข้าท่าหรือเปล่า 

เราต้องระวังคำพูด ความจริงพระเยซูตรัสไว้ในพระธรรมมัทธิวบทที่ 12 ว่า เราจะต้องรับผิดชอบถ้อยคำที่ไม่เป็นสาระที่เราพูดนั้นทุกคำ ไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกที่จะรอดพ้นความผิดข้อนี้ไปได้ เราทุกคนล้วนมีความผิดในข้อนี้ทั้งสิ้น

10.  อย่าโลภ 

พระบัญญัติประการที่ 10 นี้อยู่ในข้อ 17 “อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือวัว ลาของเขา หรือสิ่งใด ๆ ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน” 

โลภ หมายความว่า อยากได้มาก ๆ อยากได้อย่างรุนแรง คุณเคยอยากได้อะไรที่พระเจ้าไม่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้คุณหรือเปล่า เคยไหมที่อยากได้จนไม่อยากละสายตาไปจากมัน เฝ้าพะวงคิดถึง หวังว่าจะได้ครอบครองมัน อยากได้จนให้ความคิดเรื่องนั้นครอบงำคุณจนหมดสิ้นทั้งกายและใจ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้แหละที่เรียกว่า โลภ

พระธรรมโคโลสี 3:5 บอกเราว่าความโลภเหมือนกับการนับถือรูปเคารพ ตอนนี้ให้เราย้อนกลับไปดูพระบัญญัติประการที่ 2 และประการที่ 3 เพราะการที่เรารู้สึกอย่างที่กล่าวมาข้างบนนี้ ก็เท่ากับว่าเรากำลังบอกว่า “อยากได้รถคันนี้มากกว่าพระเจ้า หรืออยากได้เงินจำนวนนี้มากกว่าพระเจ้า” ยังไงล่ะครับ

บทสรุป

เมื่อพิจารณาใคร่ครวญพระบัญญัติทั้ง 10 ข้อนี้แล้ว เราคงพอจะมองออกว่าตัวตนแท้จริงของเราเป็นอย่างไร เราเป็นทั้งคนโกหก ขโมย หมิ่นประมาทพระเจ้า มีรูปเคารพ และทำผิดประเวณี เรามีสภาพย่างไรหรือครับ สภาพของเราเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์คือคนที่ทำผิด ต้องถูกลงโทษ เพราะมีความผิดฐานล่วงละเมิดพระบัญญัติ

พระเยซูทรงสรุปพระบัญญัติไว้เป็นข้อใหญ่ ๆเพียง 2 ข้อในพระธรรมมัทธิว 22:37,39 คือให้เรารักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ สุดความคิด จนหมดทั้งกายและใจ ทุกอณูที่ประกอบขึ้นเป็นกายเรา และเราต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองด้วย พระบัญญัติสิบประการสรุปได้อย่างนี้แหละครับ

ตัวคุณเองพูดได้เต็มปากไหมว่า ทุกขณะที่คุณรู้สึกตัวและตื่นอยู่นี้ คุณรักพระเจ้าจนสุดจิตสุดใจสุดกำลังของคุณ พูดได้เต็มปากไหมว่าที่ผ่านมาคุณติดตาม แสวงหา รักและต้องการพระองค์จนหมดสิ้นทุกอณูทุกส่วนที่เป็นตัวคุณทุกชั่วขณะจิต คุณพูดอย่างนั้นได้เต็มปากไหมครับ

แล้วคุณพูดได้เต็มปากไหมครับว่าที่ผ่านมาคุณรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวคุณเอง หมายความว่าคุณสนใจห่วงใยเพื่อนบ้านมากกว่าตัวคุณเอง ยอมลำบากเพื่อเขา ช่วยเหลือเขาเต็มกำลังไม่ว่าจะเสียอะไรเท่าไร ช่วยแม้มันจะย้อนกลับมาทิ่มแทงคุณ คุณก็ยังอยากช่วยเขาโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ช่วยด้วยความเต็มใจ และด้วยใจที่เป็นสุข มีใครในที่นี้ที่พูดอย่างนี้ได้บ้างไหม ถ้าไม่มีก็หมายความว่าเรามีความผิดโทษฐานไม่ทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า

บางทีคุณอาจจะยังคิดว่าคุณก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก แต่ลองอ่านพระธรรมยากอบ 2:10 ดูสิครับ “เพราะว่าผู้ใดรักษาพระราชบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดพระราชบัญญัติทั้งหมด”  หมายความว่าแม้คุณจะพยายามดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติได้อย่างเคร่งครัด แต่ถ้าคุณทำพลาดไปแม้แต่นิดเดียวก็เท่ากับว่าคุณมีความผิดโทษฐานไม่ทำตามพระบัญญัติแล้ว

คุณพูดตามความสัตย์จริงได้ไหมครับว่า คุณรักพระเจ้าจนสุดจิตสุดใจเสมอมา คูณพูดได้ไหมครับว่าคุณไม่เคยให้พระเจ้าเป็นอย่างที่คุณคิดหรืออยากให้พระองค์เป็น คุณพูดได้ไหมครับว่าเท่าที่ผ่านมาคุณมอบเวลาของคุณแก่พระองค์มากเท่าที่พระองค์สมควรได้รับ 

คุณพูดได้ไหมครับว่าคุณให้เกียรติคุณพ่อคุณแม่คุณเสมอมา คุณพูดได้ไหมครับว่าคุณไม่เคยโกรธใครเลยในชีวิต คุณพูดได้ไหมครับว่าคุณไม่เคยคิดอะไรที่ไม่ดีงามกับเพศตรงข้าม คุณพูดได้ไหมครับว่าคุณไม่เคยโกหกใครเลย 

คุณพูดได้ไหมครับว่าคุณไม่เคยเอาของของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ไม่เคยแม้แต่กระดาษสักแผ่น คุณพูดได้ไหมครับว่าคุณไม่เคยอยากได้ของที่พระเจ้าไม่ได้อยากให้คุณได้ คุณพูดตามความสัตย์จริงได้ไหมครับว่าคุณไม่เคยยอมให้อะไรมาเป็นเจ้าหัวใจของคุณนอกเหนือ
จากพระเจ้า 

  คุณพูดได้ไหมครับว่าในเรื่องของพระบัญญัติ 10 ประการนี้คุณไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่สักครั้งเดียว ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่พูดอย่างนี้ได้ และเพราะว่าคุณไม่สามารถพูดว่า “ฉันไม่เคยทำผิดพระบัญญัติเลยแม้แต่ครั้งเดียวหรือแม้แต่ข้อเดียว ฉันเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง”  คุณจึงมีความผิดตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ พระเจ้าทรงบอกเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า ตราบใดที่พระองค์ทรงมีส่วนอยู่ในเรื่องนี้ถ้าคุณทำผิดพระบัญญัติ แม้แต่นิดเดียวเมื่อคุณยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ พระองค์จะทรงถือเหมือนว่าคุณทำผิดพระบัญญัติหมดทุกประการ 

  แล้ววันหนึ่งคุณก็จะต้องไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไร หรือต่อให้เราทั้งหลายคิดและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้”  ถ้าพระเจ้าตรัสว่ามันจะเกิด มันก็ต้องเกิดแน่ ๆ และเมื่อพระองค์ทรงพิจารณาพิพากษาความผิดคุณ ก็จะทรงยกความจริงเป็นหลัก ความจริงที่ทรงยึดนั้นก็คือพระวจนะของพระองค์ ผมขอวิงวอนให้คุณยอมให้พระวจนะของพระเจ้าเข้าไปสอดส่องสำรวจใจของคุณ และคุณต้องทำเดี๋ยวนี้ตั้งแต่คุณยังมีชีวิตอยู่ เพราะเมื่อคุณตายมันก็จะสายเกินไป คุณต้องรู้นะครับว่าคุณเป็นคนผิดบาปเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระองค์

เท่าที่ผ่านมานี้ดูเหมือนว่าเราจะพูดกันแต่เรื่องร้าย ๆ  ทั้งนั้น
แต่ข่าวดีก็คือว่า เราสามารถจะแก้ไขเรื่องของเรากับพระเจ้านี้ให้ดีได้ ความจริงพระคัมภีร์ก็บอกเราไว้ด้วยว่า เมื่อพระเจ้าทรงมองดูโลกนี้ ทรงเห็นคนเป็นสองพวกเท่านั้น คือพวกที่ไม่รู้จักและไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ คนพวกนี้จะถูกพิพากษาตัดสินตามธรรมบัญญัติว่ามีความผิด คนส่วนใหญ่จำนวนมากมายมหาศาลจะเป็นอย่างนี้

แต่ยังมีคนอีกพวกหนึ่งที่จะรับผลแห่งความชื่นชมยินดีจากความสัมพันธ์ของตัวเขากับพระเจ้า เขาเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์กับพระองค์ พระเจ้าทรงหาทางให้พวกเขาจัดการกับความบาปของตัวเองได้แล้ว ดังนั้นเมื่อยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระจ้าความบาปของเขาจะได้รับการชำระให้หมดไป ผู้ที่ทรงเป็นคำตอบในเรื่องนี้ก็คือ พระเยซูคริสต์ และเราจะได้เรียนรู้ความจริงเรื่องนี้ลึกลงไปอีกในบทเรียนชุดต่อไปนะครับ

พื้นฐานของความรอด - คำถาม บทที่ 1

1. มนุษย์มองกันที่กายภายนอก แต่พระเจ้าทรงมองจาก_______        

2. วันหนึ่งเราทุกคนต้องไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า และเราจะ ถูกพิพากษาตัดสินตาม__________ 

3. อะไรคือความจริง_____________________________ 

4. พระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือทั้งหมดกี่เล่ม_________ 

5. มีผู้เขียนพระคัมภีร์ทั้งหมดกี่คน_____________  

6. ช่วงเวลาที่เขียนพระคัมภีร์ทั้งหมดกี่ปี___________  

7. ใครดลใจมนุษย์ให้เขียนพระคัมภีร์_____________  

8. พระเจ้าทรงขมวดพระบัญญัติให้เหลือเฉพาะเนื้อหาที่สำคัญ 
จริง ๆ
เพียง 10 ข้อ เรียกว่าอะไร­­­­­­­­_________________ 

9. เมื่อพระเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ อย่ามีพระอื่นใด นอกเหนือจากเรา ”  ทรงหมายความว่าอย่างไร ________________________________________________________________________________________________

10. ตามพระบัญญัติประการที่ 1 คุณเคยให้ใครหรืออะไรสำคัญกว่า
พระเจ้าไหม

(เคย, ไม่เคย)

11. ตามพระบัญญัติประการที่ 2 คุณเคยมีพระเจ้าที่สร้างหรือให้     เป็นไปตามใจคุณเองบ้างไหม

(เคย, ไม่เคย)

12. ตามพระบัญญัติประการที่ 3 คุณเคยออกพระนามพระเจ้าอย่าง
ไร้ประโยชน์หรือไม่

(เคย, ไม่เคย) 

13. ตามพระบัญญัติประการที่ 4 คุณมอบเวลาของคุณให้พระเจ้า หรือใช้มันตามใจตัวเอง

(มอบ, ใช้ตามใจตัวเอง) 

14. ตามพระบัญญัติประการที่ 5 คุณให้เกียรติแก่บิดามารดาของ
คุณตามพระวจนะของพระเจ้าเสมอหรือเปล่า

(ให้, ไม่ให้) 

15. ตามพระบัญญัติประการที่ 6 คุณเคยนึกโกรธใครในใจ ( ที่พระเจ้าตรัสว่าเป็นการฆ่าคน ) หรือไม่

(เคย, ไม่เคย)

16. ตามพระบัญญัติประการที่ 7 คุณเคยมองหรือคิดถึงใครในแง่ที่ เกี่ยวกับเรื่องเพศหรือไม่

(เคย, ไม่เคย) 

17. ตามพระบัญญัติประการที่ 8 คุณเคยเอาของของคนอื่นมาเป็น ของตัวหรือไม่

(เคย, ไม่เคย) 

18. ตามพระบัญญัติประการที่ 9 คุณเคยพูดเท็จหรือไม่  

(เคย, ไม่เคย) 

19. ตามพระบัญญัติประการที่ 10 คุณเคยอยากได้อะไรที่พระเจ้า ไม่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้คุณ มากจนใจของคุณผูกติดอยู่กับสิ่ง นั้นตลอดเวลาหรือไม่

(เคย, ไม่เคย) 

20. ตามพระธรรมยากอบ 2:10 ถึงแม้ว่าคุณจะถือรักษาตามพระ บัญญัติทั้งหมดไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าหากคุณเผลอทำผิดเพียงเล็กน้อย ถือว่าคุณทำผิดพระบัญญัติหรือเปล่า             

(ทำผิด, ไม่ผิด)