ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: natwill78
เรียนพระคัมภีร์จากยุคสร้างโลกถึงชีวิตพระเยซูคริสต์
บทที่ 22 – การทรยศและการพิจารณาคดีของพระเยซู
บรรดาฝูงชนกลุ่มต่างๆ ได้ติดตามพระเยซูไปทุกหนทุกแห่งที่พระองค์เสด็จไป บางคนต้องการการรักษาให้หายจากปัญหาสุขภาพของเขา คนอื่นๆ ต้องการที่จะได้รับอิสรภาพทางการเมืองจากพวกโรมัน แต่มีคนจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ใคร่ครวญเกี่ยวกับความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณของเขา มีคนจำนวนน้อยมากยินดีที่จะยอมรับว่าความต้องการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา คือการได้รับความช่วยเหลือให้รอดพ้นจากซาตาน ความบาป และความตาย ขณะที่พระเยซูและพวกสาวกของพระองค์กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็มพวกเขาก็มาถึงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งชื่อ เมืองเบธานี ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงเยรูซาเล็ม เมือง เบธานีเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของมารีย์ มารธา และลาซารัส เมื่อไม่นานมานี้ พระเยซูพึ่งจะบันดาลให้ลาซารัสเป็นขึ้นมาจากความตาย
มาระโก 11:7-10 สาวกจึงจูงลูกลามาถึงพระเยซู แล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูลงบนหลังลา แล้วพระองค์จึงทรงลานั้น มีคนเป็นอันมากเอาเสื้อผ้าของตนปูลงตามถนนหนทาง และคนอื่นก็ตัดกิ่งไม้จากต้นไม้มาปูลงตามทางนั้น ฝ่ายคนที่เดินไปข้างหน้า กับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็โห่ร้องว่า “โฮซันนา ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรง
พระเจริญ ความสุขสวัสดิ์มงคลจงมีแก่อาณาจักรของดาวิดบรรพบุรุษของเรา ที่มาตั้งอยู่ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า โฮซันนาในที่สูงสุด”
พระเยซูทรงประทับนั่งบนลูกลาและขี่มันเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ในพระธรรม
เศคาริยาห์บทที่ 9 ข้อ 9 เมื่อหลายร้อยปีก่อน ฝูงชนกลุ่มต่างๆ เป็นอันมากได้พากันโห่ร้องต้อนรับพระเยซูในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่มาจากพระเจ้าตามที่ทรงสัญญาไว้ พวกเขาสรรเสริญพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นั้นที่บรรดาผู้เผย
พระวจนะของพระเจ้าได้สัญญาว่าพระเจ้าจะส่งมาให้เป็นกษัตริย์ของเขา อย่างไรก็ตามประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ไว้วางใจในพระเยซูว่าจะทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากอำนาจของซาตาน ความบาปทั้งหลายของเขาและการลงโทษของพระเจ้า คนเหล่านี้ต้องการให้พระเยซูเป็นกษัตริย์ของเขาเพื่อพระองค์จะทรงช่วยปลดปล่อยพวกเขาให้รอดพ้นจากพวกศัตรู บรรดาผู้นำของพวกยิวตั้งใจว่าจะฆ่าพระเยซูเสีย แต่พวกเขาก็กลัวฝูงชนเหล่านี้เพราะพระเยซูทรงเป็นที่นิยมชมชอบท่ามกลางประชาชนเนื่องจากการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงกระทำนั้น
มาระโก 14:10 ฝ่ายยูดาสอิสคาริโอท เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคน ได้ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ เพื่อจะทรยศพระองค์ให้เขา
ยูดาสเป็นคนหนึ่งในพวกสาวก 12 คนซึ่งพระเยซูได้ทรงเลือกให้เป็นสาวกคนสนิท แต่ยูดาสไม่ได้ใส่ใจต่อสภาพที่เต็มไปด้วยความบาปของตนเองต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เขาไม่ได้ไว้วางใจในพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็น พระผู้ช่วยให้รอดของเขา ยูดาสติดตามพระเยซูเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเขาเท่านั้น พระคัมภีร์ยังบอกเราให้ทราบอีกว่ายูดาสเป็นขโมย เขาได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้เก็บรักษาถุงเงิน แต่เขาลักขโมยเงินบางส่วน และเก็บเอาไว้ใช้เสียเอง เมื่อดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการติดตามพระเยซูอีกเขาก็พร้อมที่จะขายพระเยซูให้แก่พวกศัตรูของพระองค์
ซาตานได้ชักจูงให้ยูดาสทรยศต่อพระเยซู ซาตานเกลียดชังพระเยซูเพราะพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและพระองค์ตรัสแต่ความจริง ซาตานคิดว่าถ้ามันสามารถจะจัดการให้บรรดาผู้นำของพวกยิวฆ่าพระเยซูเสียมันก็จะขัดขวางแผนการของพระเจ้าได้ ยูดาสไปหาพวกศัตรูของพระเยซูและได้แจ้งแก่พวกเขาว่า ตัวเขาเองยินดีที่จะทรยศพระเยซูเพื่อเงิน บรรดาผู้นำของพวกยิวก็ตกลงกันว่าจะจ่ายเงินให้แก่ยูดาสเป็นเหรียญเงิน 30 เหรียญ
มาระโก 14:12 เมื่อวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ถึงเวลาเขาเคยฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้น พวกสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายไปจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน”
หลายปีหลังจากที่เทศกาลปัสกาในประเทศอียิปต์ได้ผ่านพ้นไปแล้วพวกยิวก็ยังคงฉลองการเลี้ยงที่เฉพาะเจาะจงนี้ พระเยซูได้สั่งให้สาวกบางคนไปจัดเตรียมสถานที่สำหรับพวกเขาที่จะกินปัสกา พระเยซูทรงทราบอยู่แล้วว่ายูดาสจะทรยศพระองค์ แต่พระเยซูก็ทรงรักเขาและทรงรู้สึกเศร้าพระทัยที่จะคิดว่า ยูดาสจะยอมทำเช่นนี้ต่อพระองค์ ในการเลี้ยงนั้น
พระเยซูได้ตรัสแก่พวกสาวกของพระองค์ว่า คนหนึ่งในท่ามกลางพวกเขาจะทรยศมอบพระองค์ไว้กับบรรดาผู้นำของพวกยิว แม้ว่าพวกเขาจะร่วมกินอาหารมื้อนี้ด้วยกันก็ตาม แต่ในไม่ช้าสาวกคนนี้ของพระเยซูก็จะขายพระองค์ให้แก่พวกศัตรูของพระองค์ เมื่อพระเยซูตรัสว่าคนๆ นี้เป็นคนหนึ่งในพวกสาวก 12 คนพระองค์อาจจะพยายามที่จะเตือนสติให้ยูดาสสำนึกว่า สิ่งที่เขากำลังวางแผนที่จะทำนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายเพียงใด และทรงให้โอกาสที่ยูดาสจะเปลี่ยนใจได้
มาระโก 14:22-24 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา ทรงขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า“จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณและส่งให้เขา เขาก็รับไปดื่มทุกคน แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า“นี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อคนเป็นอันมาก ....”
ในพระคัมภีร์ตอนนี้เราพบว่าพระเยซูกำลังตั้งพิธีที่หลายๆ คน เรียกว่า การเลี้ยงอาหารค่ำขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือพิธีศีลมหาสนิทนั่นเอง พระเยซูทรงหักขนมปังแล้วทรงอธิบายว่าพระองค์ได้หักขนมปังให้แตกออกฉันใด ในไม่ช้าพระกายของพระองค์ก็จะต้องแตกออกโดยคนชั่วฉันนั้น
พระเยซูตรัสว่าน้ำองุ่นที่พระองค์ทรงเทให้เขาทั้งหลายดื่มนั้นเป็นภาพที่แสดงถึงพระโลหิตของพระองค์ซึ่งจะต้องหลั่งออกจากพระกายของพระองค์เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์นั้น พระเยซูตรัสว่าเมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์พระองค์ก็ได้สละพระชนม์ชีพของพระองค์แทนมนุษย์ทุกคนแล้ว
หลังการเลี้ยงอาหารมื้อค่ำนั้นยูดาสได้ละจากพระเยซูและสาวกคนอื่นๆ เพื่อจะไปทรยศพระเยซู พระเยซูกับสาวกที่เหลืออยู่ก็ไปยังสวนที่สวยงามแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่
พระเยซูมักจะมาอธิษฐานบ่อย ๆ แม้ว่าพระเยซูจะทรงเป็น
พระเจ้า แต่พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์ด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพระองค์ที่จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์อันเลวร้ายต่างๆ ที่พระองค์ทรงทราบแล้วว่าพระองค์จะต้องมารับความทุกข์ทรมานนั้น พระองค์ทรงทราบว่าการที่จะเป็นผู้ช่วยให้รอดของเราได้พระองค์จะต้องผ่านความทุกข์ทรมานอันเลวร้ายมากกว่าที่ผู้ใดผู้หนึ่งเคยประสบมาเลยทีเดียว หลังจากที่พระองค์ทรงอธิษฐานแล้วพระองค์ก็ตรัสแก่พวกสาวกของพระองค์ว่า
มาระโก 14:42-43 “ ลุกขึ้นไปกันเถิด ดูเถิด ผู้ที่จะทรยศเรามาใกล้แล้ว” พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น กับหมู่ชนเป็นอันมาก ถือดาบถือไม้ตะบอง ได้มาจากพวกปุโรหิตใหญ่ พวก
ธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่
คนเหล่านั้นที่พากันมาจับกุมพระเยซูไม่ได้ตระหนักเลยว่าพวกเขากำลังถูกชักจูงโดยซาตาน พวกสาวกต่างก็หนีเอาตัวรอดและทิ้งพระเยซูไปทุกคนเหมือนที่พระเจ้าได้ทรงทำนายไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้น พวกสาวกรู้สึกหวาดกลัว ผิดหวังและสับสน พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าได้ใช้ให้เสด็จเข้ามาในโลก แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระองค์จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้อย่างไรถ้าพระองค์กำลังจะถูกศัตรูฆ่าอยู่แล้ว พวกเขาไม่เข้าใจว่าความตายของพระองค์จะสามารถช่วยนำพวกเขาให้รอดพ้นจากซาตาน ความบาปและความตายได้อย่างไร
เปโตรได้ย้อนกลับมาและเดินตามหลังพระเยซูไปห่างๆ เขากลัวว่าตัวเขาเองจะถูกจับกุมและถูกฆ่าไปด้วยจากนั้นพระเยซูได้ถูกนำตัวมายืนต่อหน้าสภาแซนฮีดรินซึ่งเป็นศาลสูงของพวกยิว พระเยซูไม่ได้กระทำความผิดประการใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถจะหาเหตุผลอันชอบธรรมที่จะพิพากษาปรับโทษพระองค์ได้ พวกเขาไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะเกลียดชังพระเยซู นอกจากเหตุผลที่ว่าพวกเขารักทางแห่งความบาปของตนเอง และไม่ต้องการที่จะเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า
หลายร้อยปีก่อนหน้านี้บรรดา“ผู้เผยพระวจนะ”ของพระเจ้าได้กล่าวว่า พยานเท็จจะพูดเรื่องโกหกปรักปรำ
พระผู้ช่วยให้รอด บัดนี้ขณะที่พระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าสภาแซนฮีดริน ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ก็สำเร็จตามนั้น บรรดาผู้นำของพวกยิวได้หาพยานเท็จมาพูดเรื่องโกหกปรักปรำพระเยซูคริสต์ พระคริสต์ทรงนิ่งเงียบและไม่ได้ตอบพยานเท็จเหล่านี้ แล้วพวกเขาก็ถามพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ซึ่งหมายถึงพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงสัญญาไว้และเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงหรือ พระเยซูได้ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างนั้นจริงๆ มหาปุโรหิตก็โกรธมากและได้กล่าวว่า
มาระโก 14:64-65 “ ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร” คนทั้งปวงจึงเห็นพร้อมกันว่าควรจะมีโทษถึงตาย บางคนก็เริ่มถ่มน้ำลายรดพระองค์ ปิดพระพักตร์พระองค์ ตีพระองค์ แล้วว่าแก่พระองค์ว่า“พยากรณ์ซิ” และพวกคนใช้ก็เอาฝ่ามือตบพระองค์
นี่คือเหตุการณ์นั้นเองที่บรรดา“ผู้เผยพระวจนะ”ของพระเจ้าได้กล่าวไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้านี้ว่าจะเกิดขึ้นกับพระผู้ช่วยให้รอด พวกโรมันที่ปกครองเหนือชนชาติอิสราเอลไม่อนุญาตให้ชาวยิวฆ่าใคร เว้นเสียแต่ว่าพวกโรมันจะให้อนุญาตเท่านั้น จักรพรรดิโรมันได้ทรงแต่งตั้งให้ปีลาตเป็นผู้ว่าการแห่งแคว้นสะมาเรียและ ยูเดีย บรรดาผู้นำของพวกยิวได้นำตัวพระเยซูไปหาปีลาตโดยหวังว่าปีลาตจะพิพากษาประหารชีวิตพระเยซูโดยอาศัยพื้นฐานจากข้อกล่าวหาเท็จต่างๆ ที่พวกเขาได้เตรียมไว้แล้ว
ในช่วงเทศกาลปัสกานั้นมีธรรมเนียมที่ปีลาตจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามคำขอของพวกยิว ปีลาตทราบว่าพระเยซูไม่ได้กระทำความผิดประการใด เขาทราบว่าบรรดาผู้นำของพวกยิวต้องการจะฆ่าพระเยซูเพียงเพราะคนกลุ่มนี้อิจฉาริษยาความนิยมชมชอบที่ประชาชนมีต่อพระองค์ ปีลาตหวังว่าพวกยิวจะเลือกที่จะปล่อยพระองค์ให้ได้รับอิสรภาพมากกว่าที่จะให้ปล่อยฆาตกรที่ชื่อ “บารับบัส”
บรรดาผู้นำของพวกยิวอยากจะให้พระเยซูถูกตรึงกางเขน การตรึงกางเขนนั้นเป็นการประหารชีวิตที่พวกโรมันนำมาใช้กับอาชญากรที่เลวที่สุด ซึ่งอาจจะเปรียบได้กับห้องรมแก๊ซพิษหรือเก้าอี้ไฟฟ้าในปัจจุบัน แต่การตรึงกางเขนเลวร้ายกว่านั้นอีก เพราะตามปกติคนที่ถูกตรึงกางเขนจะไม่ได้ตายทันที
อาชญากรที่กระทำความผิดจะต้องทนทุกข์ทรมานทางด้านร่างกายอย่างแสนสาหัสนานเป็นชั่วโมงๆ หรือบางทีก็อาจจะหลายๆ วันก่อนที่จะตายเลยทีเดียว
ผู้นำทั้งหลายของพวกยิวได้ปลุกเร้าให้ประชาชนเรียกร้องให้นำตัว พระเยซูไปตรึงเสียที่กางเขน และภายใต้ความกดดันนั้นเองปีลาตจึงยินยอมให้นำตัวพระเยซูไปตรึงกางเขน พระเยซูได้ถูกพวกโรมันเฆี่ยนและเยาะเย้ยก่อนที่จะถูกนำตัวออกไปตรึงเสียที่กางเขน มีบันทึกเรื่องราวจากยุคนี้ที่ได้บอกเราให้ทราบเกี่ยวกับการเฆี่ยนด้วยแส้ในยุคโรมัน แส้จะประกอบด้วยเส้นหนังอ่อนๆ หลายเส้นโดยที่ปลายแส้จะมีเศษโลหะและกระดูกแหลมๆ ผูกติดอยู่เพื่อจะเจาะเข้าไปบนแผ่นหลังของนักโทษที่ถูกเฆี่ยนอยู่นั้น การถูกปลายแส้เฆี่ยนตีซ้ำๆ จะทำให้ผิวหนังเปิดออกและเจาะเข้าไปในเนื้อ กล้ามเนื้อและเส้นประสาทต่าง ๆ
หลังจากที่พวกทหารได้เฆี่ยนตีพระเยซูอย่างรุนแรงแล้วพวกเขาก็เยาะเย้ยพระองค์ พวกทหารได้เอาเสื้อคลุมสีม่วงซึ่งเป็นสีของฉลองพระองค์สำหรับกษัตริย์ในสมัยนั้นมาสวมให้พระองค์ พวกเขายังได้ทำมงกุฎหนามและนำมาวางไว้บนศีรษะของ
พระเยซู หลังจากนั้นพวกเขาก็นำตัวพระเยซูขึ้นไปบนภูเขาโกละโกธาซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์จะถูกตอกตรึงไว้กับกางเขนและจะต้องทนทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยเราทั้งหลายให้รอดพ้นจากซาตาน ความบาป และความตาย
คำถามบทที่ 22
1. ยูดาสได้สำนึกบาปและกลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซูหรือไม่
ก) ใช่
ข) ไม่ใช่
2. พระเยซูตรัสว่าขนมปังที่แตกหักนั้นหมายถึงอะไร
ก) ร่างกายของพระองค์
ข) พระวจนะของพระองค์
ค) คริสตจักรของพระองค์
3. พระเยซูตรัสว่าน้ำจากเถาองุ่นนั้นหมายถึงอะไร
ก) น้ำ
ข) คำสอนของพระองค์
ค) พระโลหิตของพระองค์
4. ใครเป็นคนนำกลุ่มผู้นำยิวมาจับกุมพระเยซู
ก) พระเจ้า
ข) เปโตร
ค) ยูดาส
ง) ลาซารัส
5. พระเยซูทรงเคยทำผิดหรือไม่
ก) เคย
ข) ไม่เคย