ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: natwill78

เรียนพระคัมภีร์จากยุคสร้างโลกถึงชีวิตพระเยซูคริสต์

บทที่ 21 – ความโง่เขลาจากการไว้วางใจ
ในทรัพย์สมบัติ


 มาระโก 10:13-15  ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆ มาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามคนที่พาเด็กมานั้น  เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัย จึงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า“จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า  ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรนั้นไม่ได้”

เหล่าสาวกไม่คิดว่าพระเยซูทรงปรารถนาที่จะใช้เวลาในการแสดงความรักและความห่วงใยต่อเด็กเล็ก ๆ    อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงรักเด็ก  พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้พวกเด็กๆ  เชื่อพระวจนะของพระองค์และไว้วางใจในพระองค์ด้วย   เราทุกคนต่างก็เกิดมาเป็นคนบาปและตกอยู่ใต้อำนาจของซาตานและความตาย  วิธีเดียวที่คนหนึ่งคนใดในพวกเราทั้งหลายที่จะได้รับการช่วยกู้ก็โดยการมอบความไว้วางใจของเราในพระเยซูให้พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

คนเหล่านั้นซึ่งไม่เต็มใจที่จะมาหาพระเจ้าและไว้วางใจในพระองค์เหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่งก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้  ทารกน้อยชอบให้คุณอุ้มไว้ในอ้อมแขนของคุณ   ทารกนั้นไม่กลัวว่าจะร่วงหล่นลงไปที่พื้นเพราะเด็กทารกไว้วางใจว่าคุณจะอุ้มไว้และดูแลเขาอย่างดี   เมื่อคุณยังเป็นเด็กคุณเชื่อทุกสิ่งที่พ่อแม่บอกคุณ  คุณไม่ได้พยายามที่จะคิดใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองเลย แต่เมื่อคุณเติบโตขึ้นคุณก็พึ่งพาตัวเองมากขึ้น

พระเจ้าไม่ได้ออกแบบเราทั้งหลายมาให้ไม่ต้องพึ่งพาพระองค์  พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์เพื่อมนุษย์จะรู้จักพระองค์  รักและเชื่อฟังพระองค์ แต่ในสภาพที่เป็นคนบาปเราจึงไม่สามารถจะกระทำสิ่งเหล่านี้ได้  เราถูกแยกจากพระเจ้าโดยความบาปของเรา   ตามธรรมชาติแล้วเราไม่ชอบพึ่งพาผู้อื่นแต่ชอบเอาตัวเองเป็นใหญ่  พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเพื่อช่วยคนบาปให้รอด  พระองค์ตรัสว่าเราทั้งหลายจะต้องบังเกิดใหม่  เมื่อเป็นไปไม่ได้ที่คนใดคนหนึ่งจะทำให้ตนเองเกิดมาในฝ่ายร่างกายฉันใด   ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เราทั้ง หลายจะทำให้ตนเองเกิดมาในฝ่ายจิตวิญญาณฉันนั้น   มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะประทานชีวิตใหม่แก่เรา  พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่สามารถจะช่วยเราให้รอดจากความบาปทั้งหลายของเราได้

เราอาจจะรู้สึกว่าเป็นการยากที่จะยอมรับว่าข่าวประเสริฐเป็นเรื่องที่ง่ายดายเพียงนี้หรือ?  เพราะโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ไม่ชอบพึ่งพาผู้อื่นและปรารถนาจะควบคุมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง   นี่คือสาเหตุที่พระเยซูตรัสว่า เราจะต้องมาหาพระองค์เหมือนอย่างเด็กๆ ที่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น  มีคนมากมายที่จะต้องลงไปสู่บึงไฟเพียงเพราะว่าพวกเขาไม่ยอมไว้วางใจพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์   เมื่อคนหนึ่งคนใดถ่อมใจลงและยอมเชื่อพระวจนะของพระเจ้าเหมือนอย่างเด็กเล็กๆ พระเจ้าก็ทรงช่วยคนๆ นั้นให้รอดพ้นจากการควบคุมของซาตาน ความบาป และความตาย

 มาระโก 10:17-20   เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก” พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า“ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว  ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อเขา จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’” คนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า“อาจารย์เจ้าข้า ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กมา”

ชายหนุ่มผู้นี้คิดว่าตัวเขาเองสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยและได้รับอนุญาตให้เข้าในสวรรค์โดยความดีของตนเองและการเชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระเจ้า  เขาคิดว่าเขาสามารถเป็นคนดีพอที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์โดยการกระทำความดีได้   ผู้ชายคนนี้ก็เหมือนกับคาอินที่คิดว่าการนำพืชผักที่ปลูกเองมาถวายแก่พระเจ้าจะสามารถทำให้เขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้   แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมรับคาอินเนื่องจากสิ่งที่เขาได้นำมาถวายนั้น  

ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เข้าใจว่าไม่มีใครดีพอที่จะทำให้
พระเจ้าพอพระทัยได้  เขาไม่ได้ตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ดีเลิศและประเสริฐ    เมื่อพระเยซูตรัสตอบแก่ชายผู้นี้พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระองค์เองไม่ใช่ผู้ประเสริฐและไม่ได้ปฏิเสธว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า   แต่พระองค์ต้องการให้ชายหนุ่มผู้นี้ตระหนักว่าไม่มีสามัญชนคนใดดีเลิศหรือประเสริฐเลย   ถ้าชายหนุ่มผู้นี้เชื่อว่าพระเยซูทรงดีเลิศและประเสริฐเขาก็จะตระหนักด้วยว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เพราะว่ามีผู้เดียวเท่านั้นที่ดีเลิศและประเสริฐ คือพระเจ้านั่นเอง

ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ตระหนักว่าเขาเกิดมาเป็นคนบาปและอยู่ใต้การควบคุมของซาตาน   ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเชื่อฟังธรรมบัญญัติต่าง ๆ ของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์จนทำให้
พระเจ้าพอพระทัยได้    เขาคิดว่าตนเองถือรักษา
พระบัญญัติ 10 ประการอย่างสมบูรณ์เพราะเขาได้เชื่อฟัง
พระบัญญัติเหล่านี้ให้เป็นที่ปรากฏให้เห็นภายนอกแล้ว   แม้ว่าเขาได้เชื่อฟังธรรมบัญญติของพระเจ้าให้เป็นที่ปรากฏให้เห็นภายนอก   แต่เขาไม่ได้เชื่อฟังธรรมบัญญัติเหล่านี้ในใจของเขาเลย   พระเยซูได้ทรงสั่งสอนถึงความหมายของธรรมบัญญัติแล้วโดยทรงอธิบายว่า   ถ้าผู้ใดผู้หนึ่งเพียงแค่เกลียดชังผู้อื่นในใจของตนผู้นั้นก็ได้ทำการฆาตกรรมในใจของตนเองแล้ว   ถ้าผู้ชายมองผู้หญิงและมีใจปรารถนาต่อหญิงนั้นเขาก็ได้ล่วงประเวณีในใจของเขาแล้ว   พระเจ้าไม่ได้พิพากษาผู้ใดผู้หนึ่งตามพฤติกรรมภายนอกของเขาเท่านั้น   พระเจ้าทรงประทานพระบัญญัติ 10ประการเพื่อพิสูจน์ให้มนุษย์ทุกคนเห็นว่า   ทุกคนได้กระทำบาปและไปไม่ถึงมาตรฐานแห่งความดีของ
พระเจ้า   คุณอาจจะคิดว่าคุณเป็นคนดีและคิดว่าคุณไม่สมควรจะต้องลงไปสู่บึงไฟ   แต่คุณก็ยังล้มเหลวที่จะกระทำสิ่งที่
พระเจ้าทรงกำหนดไว้

  

มาระโก 10:21,22   พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขา แล้วตรัสแก่เขาว่า“ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่ แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงแบกกางเขน และตามเรามา”  เมื่อเขาได้ยินคำนั้นก็เสียใจ แล้วออกไปเป็นทุกข์เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก

พระเยซูทรงทราบว่าชายผู้นี้เป็นคนละโมบและรักทรัพย์สมบัติของเขามากกว่ารักเพื่อนมนุษย์    พระเยซูพยายามจะแสดงให้เขาเห็นว่าเขาได้ทำผิดธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่กล่าวว่า  เราทั้งหลายจะต้องรักเพื่อนบ้านมากเท่ากับที่เรารักตนเอง   พระเยซูทรงปรารถนาจะให้เขายอมรับว่าเขาเป็นคนบาปที่ต้อง การพระผู้ช่วยให้รอด   พระเยซูพยายามจะช่วยให้ชายหนุ่มผู้นี้ตระหนักว่าเขากำลังยกทรัพย์สมบัติของเขาขึ้นมาแทนที่พระเจ้า   ชายหนุ่มผู้นี้ได้ตัดสินใจเลือกทรัพย์สมบัติของเขาและหันหลังให้กับการมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า   เขารักเงินของเขามากกว่ารักพระเจ้า   คุณคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้  คือการสร้างความร่ำรวยหรือ?   เศรษฐีและคนยากจนก็มีค่าเท่ากันในสายพระเนตรของ พระเจ้า   เมื่อเขาตายแล้วก็ไม่มีใครสามารถจะเอาเงินไปด้วยได้เลย

พระเยซูทรงเล่าเรื่องจริงต่อไปนี้เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้เราตระหนักว่า  ความสัมพันธ์ของเรากับ
พระเจ้ามีความสำคัญมากกว่าทรัพย์สมบัติของโลกนี้มากนัก   แม้ว่าคนหนึ่งคนใดจะมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างในโลกก็จะมีประโยชน์อะไรแก่เขาเล่าถ้าเขาจะต้องตกนรก   การที่จะเชื่อพระเจ้าและได้รับชีวิตนิรันดร์ย่อมมีคุณค่ามากกว่าความสะดวกสบาย  และความมั่นคงในชีวิตนี้มากมายนัก

 

ลูกา 16:19-24    ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าสีม่วงและผ้าป่านเนื้อละเอียด รับประทานอาหารอย่างประณีตทุกวันๆ   และมีคนขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัส เป็นแผลทั้งตัว นอนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของเศรษฐี และเขาใคร่จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา  อยู่มาคนขอทานนั้นตายและเหล่าทูตสวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วย และเขาก็ฝังไว้  แล้วเมื่ออยู่ในนรกเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน  เศรษฐีจึงร้องว่า‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้’

  ดูเหมือนว่าเศรษฐีผู้นี้มีทุกสิ่งที่เขาต้องการและมีมากเกินกว่าความต้องการของตนเองเสียอีก แต่ ความมั่งคั่งร่ำรวยของเขาป้องกันเขาไม่ให้ตายได้หรือเปล่า ? และหลังจากที่เขาตายไปแล้วความมั่งคั่งร่ำรวยของเขามีประโยชน์อะไรแก่เขาเล่า ?  เมื่อมนุษย์ตายไปเขาก็จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าหรือต้องตกนรกทันที   ลาซารัสได้รับการยอมรับจากพระเจ้าและได้ไปสวรรค์ แต่เศรษฐีต้อง  ตกนรกซึ่งมีความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวง

ลาซารัสได้ไปสวรรค์ไม่ใช่เพราะเขายากไร้ขัดสนในโลกนี้ แต่เพราะเขาเห็นด้วยกับพระเจ้าว่าเขาเป็นคนบาป   และได้ไว้วางใจในพระเจ้าและในพระสัญญาทั้งหลายของพระองค์ว่า  จะส่งพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จเข้ามาในโลก  เศรษฐีตกนรกเพราะไม่ได้เห็นด้วยกับพระเจ้าและไม่ได้ไว้วางใจในพระเจ้าและในพระสัญญาทั้งหลายของพระองค์ว่า  จะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาช่วยเขาให้รอดพ้นจากอำนาจของซาตาน ความบาปและความตาย  เขาได้ดำเนินชีวิตของเขาบนแผ่นดินโลกเพียงเพื่อจะชื่นชมกับความมั่งคั่งร่ำรวยของเขาเท่านั้น   เขาดำเนินชีวิตเพื่อตนเองและไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของพระเจ้าเลย

อับราฮัมไม่สามารถจะปฏิบัติตามคำขอร้องของเศรษฐีผู้นี้   ที่จะให้ลาซารัสเอานิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของเขาได้  อับราฮัมกล่าวว่า

ลูกา 16:26 ‘นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้’

เมื่อคนใดคนหนึ่งตายและต้องตกนรกก็ไม่มีทางที่เขาจะสามารถรอดออกมาได้อีก  ไม่มีทางที่จะหนีพ้นเลย  เขาจะต้องอยู่ที่นั่นสืบๆ ไปเป็นนิตย์ และสำหรับผู้ที่ตายโดยยังไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้าพวกเขาก็จะต้องตกนรกด้วย   ผู้ที่ตายขณะที่ยังถูกแยกจากพระเจ้าเพราะความบาปของเขาก็จะถูกแยกจากพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ 

ซาตานได้ล่อลวงมนุษย์เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบันอย่างรุนแรง  ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าเงิน  ทรัพย์สิ่งของต่างๆ และสุขภาพที่ดีสำคัญกว่าพระเจ้า  หลังจากเวลา 2,000 ปีได้ผ่านไปแล้วลาซารัสยังคงอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ และเศรษฐีก็ยังคงทนทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงอยู่ในนรก  ไม่มีการสลับสับเปลี่ยนสถานที่อีก  พวกเขาจะต้องอยู่ตรงที่ที่เขาอยู่นั้นตลอดไปเป็นนิตย์

มาระโก 8:36   เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร

คำถามบทที่ 21

1. พระเยซูทรงหมายความว่าอย่างไรเมื่อพระองค์ตรัสว่าเรา
   ต้องกลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ จึงจะเข้าอาณาจักรแห่ง
   สวรรค์ได้

ก) ดังนั้นเราจะได้ไม่มีบาป

ข) เราจะมาหาพระเจ้าเหมือนอย่างเด็กที่เชื่อฟังพ่อแม่

ค) เราไม่รู้จักวิญญาณชั่วร้าย

2. ชายหนุ่มคิดว่าพระเจ้าจะทรงยอมรับเขาได้อย่างไร

ก) ด้วยความดีที่เขาทำ

ข) ด้วยการทำบุญของเขา

ค) ด้วยความรู้ของเขา

3. ทำไมชายหนุ่มจึงออกไปเป็นทุกข์

ก) เขาสูญเสียเงินของเขา

ข) เขาสูญเสียงาน

ค) เขาสูญเสียครอบครัว

ง) เขาเลือกความร่ำรวยและหันหลังให้กลับชีวิตนิรันดร์

4. ความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อพระเจ้ามีความสำคัญมากกว่า
    ความร่ำรวยหรือไม่

ก) ใช่

ข) ไม่ใช่

5. มีใครสามารถหนีรอดจากนรกได้หรือไม่

ก) มี

ข) ไม่มี