ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: natwill78

เรียนพระคัมภีร์จากยุคสร้างโลกถึงชีวิตพระเยซูคริสต์

บทที่ 18 – พระเยซูทรงพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า


มาระโก 2:1,2   ครั้นล่วงไปหลายวัน พระองค์ได้เสด็จไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีก และคนทั้งหลายได้ยินว่าพระองค์ประทับที่บ้าน และในเวลานั้นคนเป็นอันมากมาชุมนุมกันจนไม่มีที่จะรับ จะเข้าใกล้ประตูก็ไม่ได้ พระองค์จึงเทศนาพระคำนั้นให้เขาฟัง

ประชาชนมาหาพระเยซูด้วยเหตุผลหลายประการที่แตกต่างกัน บางคนอยากรู้อยากเห็น บางคนปรารถนาที่จะได้รับการรักษาให้หาย บางคนคิดว่า พระองค์จะทรงเป็นกษัตริย์ที่ช่วยปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นจากการปกครองของพวกโรมัน บ้างก็ปรารถนาที่จะมาฟังพระองค์เพราะว่าพระองค์ตรัสพระวจนะของพระเจ้าด้วยฤทธิ์อำนาจ  แต่คนอื่นๆ กลับหวังว่าพระองค์จะตรัสหรือกระทำอะไรบางอย่างที่พวกเขาสามารถจะจับผิดได้  คนเหล่านี้ต้องการจะตั้งข้อหาพระองค์ว่าก่อคดีร้ายแรง ไม่ใช่เพราะพระองค์ได้กระทำความผิดใดๆ แต่เพราะพวกเขาอิจฉาริษยาในพันธกิจของพระองค์ที่ทรงกระทำท่ามกลางประชาชนนั่นเอง

 มาระโก 2:3,4   แล้วมีคนนำคนอัมพาตคนหนึ่งมาหาพระองค์ มีสี่คนหาม  เมื่อเขาเข้าไปให้ถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก เขาจึงรื้อดาดฟ้าหลังคาตรงที่พระองค์ประทับนั้น และเมื่อรื้อเป็นช่องแล้ว เขาก็หย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมา

ชายผู้นี้ไม่สามารถจะทำอะไรเพื่อจะรักษาตนเองให้หายได้เลยเพราะเขาป่วยเป็นอัมพาต  ไม่มีหมอคนใดสามารถจะรักษาเขาให้หาย และเพื่อนๆ ของเขาก็ไม่สามารถช่วยเขาให้ดีขึ้นได้  เหตุการณ์นี้เตือนสติเราให้ระลึกว่ามนุษย์ทุกคนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่มีใครที่สามารถจะช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากการครอบครองของซาตาน ความบาปที่ควบคุมชีวิตของตนเอง และการลงโทษสำหรับบาปของเขาได้  

การกระทำความดีหรือการมีชีวิตที่ดีก็ไม่สามารถจะช่วยเราให้รอดได้  เราทั้งหลายไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นได้เลย

มาระโก 2:5-7   เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย พระองค์จึงตรัสกับคนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” แต่มีพวกธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่น และเขาคิดในใจว่า “ทำไมคนนี้พูดหมิ่นประมาทเช่นนั้น ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น”

พระเยซูทรงเห็นว่าชายผู้นี้เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์จึงทรงอภัยโทษสำหรับความบาปทั้งหลายของเขา  กลุ่มคนที่นั่งฟังอยู่นั้นพูดถูกแล้วเมื่อเขากล่าวว่ามีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะยกความผิดบาปได้ แต่เขาก็พูดผิดเมื่อเขากล่าวว่าพระเยซูได้กระทำบาป  พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและทรงมีสิทธิอำนาจที่จะอภัยโทษสำหรับความผิดบาปทั้งหลายของมนุษย์ได้  พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีไม่เชื่อว่า

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่เสด็จมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ดังนั้นพระเยซูจึงทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็น พระเจ้าโดยการรักษาชายที่ป่วยเป็นอัมพาตให้หาย  ประชาชนทั้งปวงต่างก็พากันรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง

มาระโก 2:14   เมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปนั้นพระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นเลวีบุตรชายอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี จึงตรัสแก่เขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป

พระเยซูทรงเรียกเลวีซึ่งรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า มัทธิว ให้เป็นสาวกติดตามพระองค์ไป ขณะนั้นมัทธิวกำลังทำงานเก็บภาษีให้กับพวกโรมัน  คนเก็บภาษีนั้นเป็นที่เกลียดชังและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากพวกยิว  บ่อยครั้งทีเดียวที่คนเก็บภาษีมักจะมีชื่อเสียงไปในทางที่ไม่ค่อยดีในเรื่องการเก็บภาษีเกินจากประชาชนและเก็บเงินนั้นไว้ใช้เสียเอง  มัทธิวเป็นคนบาปเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้  เขาสมควรจะตายและได้รับการลงโทษนิรันดร์สำหรับความบาปของเขา  อย่างไรก็ตามมัทธิวได้กลับใจจากความบาปของตนเอง มัทธิวได้เปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับตัวเอง ความบาปของเขาและพระวจนะของพระเจ้า  เขาได้เห็นด้วยกับพระเจ้าและไว้วางใจว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าได้ใช้ให้เสด็จเข้ามาในโลก  หลายปีต่อมาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้มัทธิวให้เขียนพระธรรมเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่  

พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจให้มัทธิวเขียนสิ่งที่เขาควรจะบันทึกนั้น

มาระโก 2:16,17    ฝ่ายพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เมื่อเห็นพระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาป จึงถามสาวกของพระองค์ว่า “เหตุไฉนพระองค์จึงกินและดื่มร่วมกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า”  ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บต้องการหมอ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่”

พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีเป็นคนเย่อหยิ่ง  คนเหล่านี้เชื่อว่าตนเองประเสริฐกว่าคนอื่นๆ มากเพราะพวกเขาถือศีลอดอาหาร อธิษฐาน และกระทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมายด้วยความพยายามที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย  พวกเขาไม่ยอมกินร่วมกับคนบางกลุ่มเช่นคนเก็บภาษีซึ่งกระทำบาปอย่างเปิดเผย  พระเยซูจึงตรัสบอกแก่พวกเขาว่า คนที่มีสุขภาพดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการหมอ  พระเยซูไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีบาป หรือดีพอแล้วที่พระเจ้าจะยอมรับเขาได้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์กลับเสด็จมาเพื่อจะทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดสำหรับผู้ที่ยอมรับว่าเขาเองเป็นคนบาปที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แต่จะได้รับการช่วยให้รอดได้โดยพระเมตตาของพระเจ้าเท่านั้น

 มาระโก 3:13-15   แล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขา และพอพระทัยจะเรียกผู้ใดพระองค์ก็ทรงเรียกผู้นั้น แล้วเขาได้มาหาพระองค์  พระองค์จึงทรงตั้งสาวกสิบสองคนไว้ให้พวกเขาอยู่กับพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงใช้เขาไปประกาศ และให้มีอำนาจรักษาโรคต่างๆ และขับผีออกได้

พระเยซูมีสาวกมากมายที่ติดตามพระองค์เพื่อเรียนรู้ถ้อยคำหรือพระวจนะของพระเจ้า  พระเยซูได้ทรงเลือก 12 คนจากเหล่าสาวกกลุ่มใหญ่เพื่อช่วยเหลือในงานของพระองค์เกี่ยวกับการสั่งสอน การรักษาโรคและการขับผี  พระเยซูทรงมีแผนการที่จะฝึกคนเหล่านี้ให้เป็นตัวแทนพิเศษของพระองค์  สาวกส่วนใหญ่ใน 12 คนที่พระเยซูได้เลือกมานี้ไม่ได้มีการศึกษาสูงแต่ประการใด คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนร่ำรวยด้วย  บางคนในสาวกพวกนี้เป็นชาวประมงก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเป็นสาวกติดตามพระเยซูไป

สาวกเหล่านี้ทุกคนเชื่อพระเยซูยกเว้นสาวกคนหนึ่งที่ชื่อ ยูดาสอิสคาริโอท   ยูดาสกล่าวว่าเขาเห็นด้วยกับพระเจ้าและเชื่อในพระเยซู แต่ยูดาสพูดว่าเชื่อแต่ปากเท่านั้น เขาไม่ได้เชื่อในจิตใจของเขาเลย  ยูดาสเป็นคนหน้าซื่อใจคดเพราะความคิดและจิตใจของเขาไม่ได้เห็นด้วยกับพระเจ้า  ยูดาสไม่ได้ไว้วางใจอย่างแท้จริงว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาซึ่งจะช่วยเขาให้หลุดพ้นจากการควบคุมของซาตาน ความบาปและความตาย  สาวกคนอื่นๆ อีก 11 คนนั้นไม่ทราบว่ายูดาสไม่ใช่ผู้เชื่ออย่างแท้จริง แต่พระเยซูทรงทราบว่ายูดาสเป็นคนอย่างไร  พระเยซูทรงทราบว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งยูดาสจะทรยศมอบพระองค์ไว้แก่พวกศัตรูของพระองค์

ยอห์น 6:1,2  ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูก็เสด็จไปข้ามทะเลกาลิลี คือทะเลทิเบเรียส  คนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อบรรดาคนป่วย

มีหลายคนในกลุ่มคนเหล่านั้นที่ติดตามพระเยซูเพราะหวังว่าจะได้ผลประโยชน์ทางด้านวัตถุจากพระองค์ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยผู้หนึ่งผู้ใดเลยถ้าเขาประพฤติตามคำสั่งสอนในพระคัมภีร์เพื่อจะให้ได้รับประโยชน์หรือทรัพย์สมบัติในโลกเท่านั้น พระเยซูไม่ได้เสด็จมาเพื่อจะประทานความมั่งคั่งในโลก  พระเยซูเสด็จมาเพื่อจะทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้นจากอำนาจของซาตาน ความบาปและความตายนิรันดร์

 ยอห์น 6:5-7   เมื่อ

พระเยซูทรงเงย

พระพักตร์ทอดพระเนตรและเห็นคนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้” พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่าพระองค์จะทรงกระทำประการใด  ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเหรียญเดนาริอันก็ไม่พอซื้ออาหารให้เขากินกันคนละเล็กละน้อย”

พระเยซูทรงทราบแล้วว่าพระองค์จะทรงกระทำประการใด  พระองค์ตรัสถามคำถามนี้แก่ฟีลิปซึ่งเป็นคนหนึ่งในสาวก 12 คนเพื่อจะทดสอบเขา  ฟีลิปได้เห็นพระเยซูกระทำการอัศจรรย์มามากมาย แต่เขาก็ยังไม่ไว้วางใจว่าพระเยซูจะสามารถเลี้ยงคนเหล่านี้ทั้งหมดได้  สาวกอีกคนหนึ่งเอาขนมปังก้อนเล็กๆ 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวซึ่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้มอบแก่พระเยซูมาให้พระองค์  พระเยซูจึงทรงหักขนมปังและปลา แล้วอาหารเหล่านี้ก็ทวีคูณขึ้นในพระหัตถ์ของพระองค์  

พระเยซูทรงเลี้ยงผู้ชาย 5,000 คนโดยยังไม่นับรวมผู้หญิงและเด็กๆ   พระเยซูสามารถจะกระทำสิ่งนี้ได้เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพนั่นเอง

ประชาชนต้องการให้พระเยซูเป็นกษัตริย์ของพวกเขาเพื่อว่าพระองค์จะทรงรักษาความเจ็บป่วยของเขาให้หาย ทรงประทานอาหารแก่พวกเขาและช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากการควบคุมของพวกโรมัน  ในตอนกลางคืนพระเยซูและสาวกของพระองค์ทั้ง 12 คนได้แล่นเรือข้ามทะเลสาบ  วันรุ่งขึ้นประชาชนเหล่านี้มีหลายคนได้แล่นเรือข้ามทะเลสาบไปหาพระองค์ 

คนเหล่านี้ยังคงไม่เชื่อพระเยซู เขาทั้งหลายต้องการจะเห็นการอัศจรรย์อีก  พวกเขาเฝ้ามองดูเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำแทนที่จะสนใจฟังความจริงที่พระองค์ทรงเทศนา  พระเจ้าได้ทรงประทานมานาจากสวรรค์และน้ำจากศิลาแก่ชนชาติอิสราเอลทั้งหลายเพื่อช่วยพวกเขาให้รอดจากความตายฝ่ายร่างกายในถิ่นทุรกันดาร  พระเจ้าได้ส่งพระเยซูจากสวรรค์ให้เข้ามาในโลกเพื่อช่วยคนบาปทั้งหลายให้รอดจากความตายนิรันดร์  ถ้าคนหนึ่งคนใดปฏิเสธที่จะกินอาหารเขาก็จะตายฝ่ายร่างกาย และถ้าคนหนึ่งคนใดปฏิเสธที่จะไว้วางใจในพระเยซูให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เขาก็ยังคงถูกแยกจากพระเจ้าและจะต้องอยู่ในบึงไฟตลอดไปเป็นนิตย์

คุณจำได้ไหมว่าเมื่ออาดัมและเอวากระทำบาป พวกเขาก็ถูกแยกจากพระเจ้าทันที  ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้าพร้อมด้วยความสามารถที่จะรู้จัก รักและเชื่อฟังพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะตอบสนองต่อพระเจ้าในลักษณะนี้ได้อีกต่อไป  คนทั้งสองต้องตกอยู่ใต้การควบคุมของซาตาน พวกเขาไม่สามารถจะมีความสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้อีกต่อไป และในฐานะที่เราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอาดัมเราจึงเกิดมาเป็นคนบาปและถูกแยกจาก

พระเจ้า

อาหารสักมื้อหนึ่งคงจะทำให้คุณรู้สึกพอใจกับความอิ่มได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่อีกไม่นานคุณก็จะหิวอีก  คนเหล่านั้นได้กินสิ่งที่พระเยซูประทานแก่เขา แต่วันต่อมาพวกเขาก็ต้องการอาหารอีก  พระเยซูตรัสว่าผู้ที่ไว้วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์  เขาทั้งหลายจะพบชีวิตใหม่ที่ก่อให้เกิดความพอใจอย่างบริบูรณ์  พระเยซูจะทรงตอบสนองในสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งให้แก่เราเพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถนำเรากลับไปมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าได้  พระองค์เสด็จมาเพื่อจะประทานชีวิตใหม่ที่เป็นนิรันดร์และเป็นชีวิตที่สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างครบบริบูรณ์

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่คนบาปต้องการเพื่อจะทำให้เขาสามารถเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าและเพื่อ

พระเจ้าจะทรงประทานชีวิตนิรันดร์แก่เขาได้  ทุกคนที่ไว้วางใจในพระเยซูให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาแล้ว  ก็ไม่

จำเป็นที่จะต้องไว้วางใจในความดีของตนเอง หรือไว้วางใจในผู้หนึ่งผู้ใดหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดอีกเลย

คำถามบทที่ 18

1. พระเยซูทรงมีอำนาจในการยกโทษความผิดบาปของมนุษย์ได้หรือไม่ 

ก) ได้

ข) ไม่ได้

2. พระเยซูทรงรักษาคนเจ็บป่วยได้หรือไม่

ก) ได้

ข) ไม่ได้

3. มัทธิวมีอาชีพอะไร

ก) นักพยากรณ์    

ข) ชาวประมง    

ค) เก็บภาษี

ง) ทนายความ

4. คนที่เชื่อว่าตัวเองทำดี ความดีของเขาจะช่วยให้เขาไป
    สวรรค์ได้หรือไม่

ก) ได้

ข) ไม่ได้

5. พระเยซูทรงเลือกสาวกติดตามพระองค์กี่คน

ก) 3         

ข) 10    

ค) 12        

ง) 15

6. พระเยซูทรงรู้หรือไม่ว่ายูดาสไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง

ก) ทรงรู้      

ข) ไม่ทรงรู้