ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: natwill78

เรียนพระคัมภีร์จากยุคสร้างโลกถึงชีวิตพระเยซูคริสต์

บทที่ 16 – การรับบัพติศมาและการทดลองของพระเยซู


บัดนี้ยอห์นซึ่งได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าให้เป็นผู้เผยพระวจนะที่จะมาเตรียมชาวยิวทั้งหลายให้พร้อมที่จะต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว  

พระเจ้าทรงจัดเตรียมเวลานี้ให้ยอห์นเริ่มสั่งสอนประชาชนว่าพวกเขาจะต้องกลับใจเสียใหม่ได้มาถึงแล้ว

มัทธิว 3:1,2  คราวนั้นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา มาประกาศในถิ่นทุรกันดารแคว้นยูเดีย กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์มาใกล้แล้ว”

ยอห์นได้ประกาศข้อความนี้ซึ่งมีความหมายว่า ประชาชนจะต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อพระเจ้าเกี่ยวกับตัวเขาและความบาปของตนเอง  เขาทั้งหลายจำเป็นต้องเห็นด้วยกับ พระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว และพวกเขาจะต้องรับใช้และนมัสการพระองค์แต่เพียงผู้เดียวนอกจากนี้เขาทั้งหลายยังจำเป็นที่จะต้องเห็นด้วยว่าพวกเขาได้กระทำบาปต่อพระเจ้าโดยการไม่เชื่อฟังธรรมบัญญติของพระองค์ และเห็นด้วยว่าพวกเขาไม่สามารถจะกระทำให้ตนเองเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้ และสุดท้ายพวกเขาจำเป็นที่จะต้องเห็นด้วยกับพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงลงโทษต่อความบาปเสมอโดยการแยกคนบาปออกไปให้พ้นจากพระพักตร์พระองค์ และให้ไปอยู่ในเปลวไฟที่เผาไหม้ตลอดไปเป็นนิตย์

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวกับที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้เราทุกคนเข้าใจเกี่ยวกับตัวเราเองและให้เห็นด้วยกับพระเจ้าเช่นเดียวกัน  ยังจำตอนที่เราศึกษาพระบัญญัติ 10 ประการด้วยกันได้ไหม? ไม่มีใครในพวกเราเลยที่สามารถจะรักษา

พระบัญญัติเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์   พระเจ้าทรงเรียกการไม่เชื่อฟังของเราว่า   ความบาป  การลงโทษสำหรับความบาป ก็คือความตายและการถูกแยกจากพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์

มัทธิว 3:5,6  ขณะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็ม และคนทั่วแคว้นยูเดีย และคนทั่วบริเวณรอบแม่น้ำจอร์แดนก็ออกไปหายอห์น และได้รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดนด้วยการสารภาพความผิดบาปของตน

คนยิวจำนวนมากเชื่อพระวจนะของพระเจ้าซึ่งยอห์นได้แจ้งแก่เขาทั้งหลายเขาจึงไปหายอห์นเพื่อรับบัพติศมาจากท่าน  เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งรับบัพติศมาก็เป็นหมายสำคัญแก่ทุกคนว่าบุคคลผู้นั้นเห็นด้วยกับพระเจ้าว่าตัวเขาเองสมควรจะตายสำหรับความผิดบาปทั้งหลายของเขา แต่เขาได้ไว้วางใจในพระเจ้าว่าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาช่วยเขาให้รอดชีวิตได้  การรับบัพติศมาของเขาเป็นหมายสำคัญที่ปรากฏให้เห็นภายนอกซึ่งเป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงการกลับใจเสียใหม่ที่อยู่ภายในจิตใจและแสดงให้เห็นถึงความเชื่อในถ้อยคำของยอห์น  การรับบัพติศมาไม่ได้ทำให้เราเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า  การรับบัพติศมาไม่สามารถจะชำระความผิดบาปทั้งหลายของเราให้ออกไปได้  ค่าจ้างสำหรับความบาป คือความตาย  พิธี

บัพติศมาเป็นเพียงหมายสำคัญที่แสดงให้คนอื่นทราบว่าบุคคลผู้นั้นเห็นด้วยกับถ้อยคำของพระเจ้าและแสดงให้เห็นว่าเขาไว้วางใจในพระเจ้าเพียงผู้เดียวที่จะช่วยเขาให้รอดได้

ในสมัยนั้นผู้นำทางศาสนาเป็นจำนวนมากเย่อหยิ่งเกินกว่าที่จะยอมรับได้ว่าตนเองเป็นคนบาปและสมควรจะต้องตาย  ผู้นำทางศาสนาประกอบด้วยคน 3  กลุ่ม คือ พวกธรรมาจารย์  พวกฟาริสีและพวกสะดูสี   ธรรมาจารย์คือ พวกที่คัดลอก

พระวจนะของพระเจ้าลงไปในม้วนหนังสือ  พวกเขาเป็นกลุ่มที่สมควรจะรู้และอธิบายความหมายที่แท้จริงในพระวจนะของพระเจ้าได้   ฟาริสีเป็นกลุ่มที่พยายามจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าโดยอาศัยกฎระเบียบปฏิบัติต่างๆ ที่พวกเขาเขียนขึ้น   พวกฟาริสีเพิ่มเติมพระวจนะของพระเจ้าและไม่คิดว่าตนเองเป็นคนบาปเหมือนคนอื่นๆ   พวกสะดูสีไม่เชื่อหลายสิ่งที่

พระเจ้าได้บันทึกไว้ในพระวจนะของพระองค์   พวกฟาริสีเพิ่มเติมพระวจนะของพระเจ้าขณะที่พวกสะดูสีตัดทอนความจริงหลายอย่างออกจากพระวจนะเหล่านั้น   พวกสะดูสียังเป็นผู้นำทางการเมืองของคนยิวอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงมีสถานภาพที่ดีในรัฐบาลโรมันซึ่งย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนยิวอื่นๆ โดยทั่วไป

ผู้นำทางศาสนาเหล่านี้มีหลายคนที่ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป  คนเหล่านี้เชื่อว่าเขาดีพอที่พระเจ้าจะยอมรับเขาได้  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาไม่ชอบคำเทศนาของยอห์นเกี่ยวกับการกลับใจเสียใหม่  ยอห์นได้บอกพวกฟาริสีและพวกสะดูสีว่าอย่าเย่อหยิ่งและอย่าไว้วางใจในข้อเท็จจริงที่พวกเขาเป็นลูกหลานของอับราฮัม  มีคนจำนวนมากในพวกคนเหล่านี้ที่คิดว่าพระเจ้าจะยอมรับพวกเขาเพราะเขาเป็นลูกหลานของอับราฮัม  ซึ่งที่จริงแล้วไม่มีใครจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าเพราะเหตุจากบิดามารดาหรือเพราะมีพื้นฐานทางศาสนาอยู่แล้ว  พระเจ้าทรงพิพากษามนุษย์ทุกคนเป็นรายบุคคล

พระเยซูเสด็จมารับบัพติศมาจากยอห์นขณะที่พระองค์อายุประมาณ 30 ปี  พระเยซูไม่ได้เป็นคนบาปที่ต้องการพระผู้ช่วยให้รอด  พระองค์ทรงบริสุทธิ์และไม่มีบาป แต่พระเยซูเสด็จมารับบัพติศมาเพราะนี่เป็นพระบัญชาของพระเจ้าสำหรับชาวยิวทุกคนที่ยอมรับว่ายอห์นเป็นผู้เผย

พระวจนะของพระเจ้า  ถ้าพระเยซูไม่ได้รับบัพติศมาแล้วล่ะก็ประชาชนก็จะพากันคิดว่าพระองค์ไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า  นอกจากนี้พระเยซูยังทรงปรารถนาที่จะยืนยันว่าคำพูดของยอห์นเป็นความจริง

 ยอห์น 1:29  วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า“จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย ..”

เมื่อยอห์นเห็นพระเยซู ยอห์นก็กล่าวว่าพระเยซูทรงเป็นลูกแกะที่พระเจ้าทรงประทานและใช้ให้เสด็จเข้ามาในโลก  ยอห์นทราบว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ในบทต่อๆ ไปเราจะได้ศึกษากันว่าที่ยอห์นเรียกพระเยซูว่า พระเมษโปดก (ลูกแกะ) ของพระเจ้านั้นยอห์นหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

 มัทธิว 4:1,2  ครั้งนั้น

พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อ

พญามารจะได้มาทดลอง และเมื่อพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร

หลังจากที่พระเยซูได้รับบัพติศมาพระองค์ก็เสด็จไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อซาตานจะได้ทดลองพระองค์   พระเจ้าได้สร้างลูซิเฟอร์(ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ซาตานหรือพญามาร)โดยสมบูรณ์แบบทุกอย่าง แต่ลูซิเฟอร์ได้ตัดสินใจเลือกที่จะกบฏขัดขืนต่อพระเจ้าตั้งแต่แรกเลยทีเดียว  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซาตานก็กระทำสิ่งชั่วร้ายอย่างต่อเนื่อง  ซาตานได้ยั่วยุให้อาดัมกบฏขัดขืนต่อพระเจ้า  บัดนี้มันพยายามที่จะยั่วยุให้พระเยซูกบฏขัดขืนต่อพระเจ้าด้วย  ซาตานต้องการให้พระเยซูตกอยู่ใต้การควบคุมของมันเพื่อพระเยซูจะไม่สามารถเป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้  ถึงแม้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงด้วย  หลังจากที่พระเยซูไม่ได้รับ
ประทานอาหารใดๆ เป็นเวลา 40 วันพระองค์ก็ทรงหิวอย่างยิ่ง

มัทธิว 4:3,4   เมื่อผู้ทดลองมาหาพระองค์ มันก็ทูลว่า“ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร”  ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า“มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’”

ซาตานพยายามจะท้าทายให้พระเยซูพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  ซาตานได้ขอให้พระเยซูทรงกระทำสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาไม่ได้ตรัสบอกให้พระเยซูกระทำ  พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ย่อมสามารถจะเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นอาหารได้ แต่ถ้าพระเยซูเชื่อฟังซาตาน พระองค์ก็จะถูกซาตานครอบครองชีวิตของพระองค์

มนุษย์เราต้องการอาหารเพื่อให้ร่างกายดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ พระเจ้าตรัสว่ายังมีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอาหาร  เราต้องการพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแสดงให้เราเห็นความจริงและหนทางที่นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ อาหารจะมีประโยชน์อะไรถ้าเรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่ต้องตายโดยปราศจาก

พระเจ้าและต้องทนทุกข์ทรมานจากการลงโทษนิรันดร์นั้น?  เราจำเป็นต้องกินอาหารเพื่อให้ร่างกายของเราดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่เราก็จำเป็นต้องฟังและเชื่อพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเราจะสามารถอยู่กับพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ได้

มัทธิว 4:5-7   แล้วพญามารก็นำพระองค์ขึ้นไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์จะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของท่านจะกระแทกหิน’” พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’”

ซาตานพยายามจะยกข้อพระคัมภีร์บางตอนจาก

พระคัมภีร์เดิม  ซาตานรู้พระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์แต่มันนำไปใช้ในทางที่ผิด  มันไม่ได้ยกข้อพระคัมภีร์มาอย่างถูกต้อง  มันเลือกแต่เพียงส่วนที่สามารถจะบรรลุเป้าหมายของมันเท่านั้น  ซาตานบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าเพื่อจะหลอกล่อให้คนหลงผิด  ซาตานยังคงใช้วิธีการนี้ในปัจจุบัน  มันพยายามจะทำให้มนุษย์คิดว่าพวกเขาควรจะเรียกร้องให้พระเจ้าสำแดงการอัศจรรย์เพื่อพิสูจน์พระองค์แก่พวกเขา  ซาตานบอกให้พระเยซูกระโดดลงมาจากพระวิหารเพื่อทดสอบพระเจ้าผู้ทรงสัญญาว่าจะพิทักษ์รักษาพระบุตรของพระองค์  พระเยซูไม่จำเป็นที่จะต้องทดสอบพระบิดาของพระองค์เพื่อดูว่าพระบิดาจะทรงพิทักษ์รักษาพระองค์หรือไม่  พระเจ้าพระบิดาได้ทรงสัญญาไว้แล้วว่าจะพิทักษ์รักษาพระองค์และพระเยซูทรงไว้วางใจพระบิดาของพระองค์

มัทธิว 4:8-10   อีกครั้งหนึ่งพญามารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า“ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน”พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า“อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’”

ซาตานสามารถจะเสนอให้พระเยซูมีอำนาจควบคุมมนุษย์ในโลกนี้ได้เพราะซาตานกลายเป็นเจ้าของโลกนี้ไปแล้ว เมื่ออาดัมได้กบฏขัดขืนต่อพระเจ้า  ซาตานพยายามจะทำให้พระเยซูนมัสการมัน แต่พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือซาตานโดยการทรงบอกแก่มันถึงข้อความที่พระเจ้าได้ตรัสไว้อย่างแท้จริงในพระคัมภีร์  พระเยซูไม่ได้เชื่อฟังซาตานเหมือนที่อาดัมได้กระทำมาแล้วในสวนเอเดน

คุณอาจจะเคยดูภาพยนตร์ที่แสดงถึงการต่อสู้ดิ้นรนระหว่างพลังของความดีและความชั่ว  บ่อยครั้งทีเดียวที่การต่อสู้ดิ้นรนนี้ถูกนำเสนอออกมาราวกับว่ามีพลังที่เท่าเทียมกัน 2 อย่างกำลังสู้รบกันอยู่   พระวจนะของพระเจ้าบอกแก่เราว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างสูงสุดผู้ทรงสร้างสารพัดทุกสิ่ง  ซาตานไม่สามารถจะทำให้พระเยซูกระทำบาปได้  แม้ว่าซาตานจะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพอย่างแน่นอน

คำถามบทที่ 16

1. คำกล่าวของยอห์นที่ว่า จงกลับใจเสียใหม่นั้น หมายถึงสองสิ่งใด (เลือกสองข้อ)

ก) เปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อพระเจ้า

ข) เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อซาตาน

ค) เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อความบาป

2. ยอห์นเตรียมผู้คนไว้ให้พร้อมเพื่อรอรับเสด็จใคร

ก) กษัตริย์    

ข) นักเทศน์  

ค) พระผู้ช่วยให้รอด

3. นักธรรมาจารย์ทำสองสิ่งใดต่อไปนี้ (เลือกสองข้อ)

ก) พวกเขาเป็นผู้นำทางการเมือง

ข) คัดลอกพระวจนะของพระเจ้าลงในม้วนหนังสือ

ค) เป็นกลุ่มที่สมควรรู้และอธิบายความหมายที่แท้จริง
    ในพระวจนะของพระเจ้าได้

4. พวกฟาริสีทำสองสิ่งใดต่อไปนี้ (เลือสองข้อ)

ก) พยายามทำให้พระเจ้ายอมรับโดยอาศัยกฎระเบียบ
    ต่างที่พวกเขาเขียนขึ้น

ข) ตัดทอนความาจริงออกจากพระวจนะของพระเจ้า

ค) เพิ่มเติมพระวจนะของพระเจ้า

5. พวกสะดูสีทำสองสิ่งใดต่อไปนี้ (เลือกสองข้อ)

ก) ตัดทอนความาจริงออกจากพระวจนะของพระเจ้า

ข) เพิ่มเติมพระวจนะของพระเจ้า

ค) พวกเขาเป็นผู้นำทางการเมือง

6. หากเราต้องการจะรอดพ้นจากโทษของความผิดบาปที่เราทำ
    เราต้องรับศีลบัพติสมาใช่หรือไม่ 

ก) ใช่      

) ไม่ใช่

7. ใครมีอำนาจและพลังเหนือกว่ากัน

ก) พระเยซู

ข) ซาตาน