ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: natwill78

เรียนพระคัมภีร์จากยุคสร้างโลกถึงชีวิตพระเยซูคริสต์

บทที่ 12 – พระบัญญัติ 10 ประการ


พระเจ้าได้ทรงนำชนชาติอิสราเอลไปถึงภูเขาซีนายซึ่งเป็นสถานที่ที่  พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์แก่โมเสสในแผ่นดินอะราเบียพระองค์กำลังจะทำพันธสัญญากับชนชาติอิสราเอลแต่ประเด็นสำคัญก็คือชนชาติอิสราเอลจะต้องเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสมบูรณ์   พันธสัญญาถือเป็นข้อตกลงที่เคร่งครัด ระหว่างพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอลซึ่งประชาชนจะต้องขานรับโดยการกล่าวว่า “เราจะกระทำทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว”

ชนชาติอิสราเอลไม่ได้เอาจริงเอาจังขณะที่พวกเขากล่าวถ้อยคำนั้นหรือ?   ในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางไปยังภูเขาซีนายนั้น  น้ำและอาหารได้หมดลง  ถ้าคุณได้เห็น
พระเจ้าทำลายประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโลก (คือประเทศอียิปต์) และได้ทรงประทานอิสรภาพให้แก่คุณคุณคิดว่าพระเจ้าสามารถจะจัดเตรียมน้ำและอาหารในถิ่นทุรกันดารได้หรือไม่  ใช่! พระองค์ทรงทำได้อย่างแน่นอน แต่ชนชาติอิสราเอลกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น  พวกเขาบ่นต่อว่าโมเสสด้วยความโกรธเคืองและกล่าวว่าพวกเขาอยากจะกลับไปยังประเทศอียิปต์มากกว่า  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะดูแลพวกเขาได้ แต่อย่างไรก็ตามพระเจ้าก็ยังทรงจัดเตรียมน้ำและอาหารสำหรับคนเหล่านี้ทั้งๆ ที่พวกเขาเอาแต่บ่นก็ตาม

ดูจากเหตุการณ์แล้วคุณคิดว่าคนเหล่านี้จะสามารถเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มที่ได้หรือไม่?  ไม่ได้เลย  แล้วพระเจ้าล่ะพระองค์ทรงคิดว่าคนเหล่านี้จะสามารถเชื่อฟังพระองค์อย่างเต็มที่หรือไม่?  พระองค์ก็คงจะไม่คิดเช่นนั้น  แล้วทำไมพระองค์จึงทรงทำข้อตกลงกับคนเหล่านี้ ทั้งๆที่พระองค์เองก็ทรงทราบอยู่แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถจะทำตามเงื่อนไขต่างๆ ในข้อตกลงนี้ได้

พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสำแดงให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์มากแค่ไหนและพวกเขาชั่วร้ายเพียงใด  เขาทั้งหลายเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง  พวกเขาคิดว่าตนเองคงจะสามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้เสมอและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ได้ตลอดเวลา   แต่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะสอนพวกเขาให้รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถจะเป็นที่พอพระทัยหรือเป็นที่ยอมรับได้โดยการการประพฤติของตนเอง  คนเหล่านี้จะระลึกถึงความบาปของเขาได้โดยความล้มเหลวของตนเอง (เช่นเดียวกับสุภาษิตที่ว่า ผิดเป็นครู นั่นเอง)   พระเจ้าทรงประทานพระบัญญัติเพื่อจะสำแดงให้เขาทั้งหลายเห็นว่าพวกเขาเป็นคนบาปเพื่อว่าเขาจะตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้และเริ่มที่จะไว้วางใจพระเจ้าว่าพระองค์จะส่งพระผู้ช่วยให้รอดที่จะเสด็จมานั้นให้แก่พวกเขา

เราจะมาอ่านบางส่วนของพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงกระทำกับชนชาติอิสราเอลกัน   พระคัมภีร์ตอนนี้มักจะเรียกว่า “พระบัญญัติ 10 ประการ”  

อพยพ 20:3 อย่ามีพระอื่นใดนอกเหนือจากเรา

พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ไม่มีผู้อื่นและไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมาแทนที่พระเจ้าได้  คุณกล้าพูดไหมว่าตั้งแต่เด็กมาจนถึงขณะนี้คุณได้รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจในทุกๆ เรื่องของชีวิตคุณเสมอ  ฉันไม่เชื่อว่าจะมีผู้หนึ่งผู้ใดที่กล้าพูดอย่างสัตย์ซื่อว่า เขารักพระเจ้ามากกว่าผู้อื่นหรือสิ่งอื่นเสมอ  พระเจ้าจะต้องอยู่ในอันดับที่สูงที่สุดในความคิดของคุณและคุณจะต้องสรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์สำหรับทุกสิ่ง  ถ้าคุณให้ความสำคัญแก่ครอบครัว  ฐานะทางสังคม  หน้าที่     การงาน  รูปร่างลักษณะภายนอก  เงิน  นันทนาการ การเกษียณอายุหรือสิ่งอื่นใดมากกว่าพระเจ้าคุณก็ได้ฝ่าฝืนพระบัญญัติข้อนี้แล้ว

อพยพ 20 :4,5  อย่าทำรูปเคารพสลักสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่างหรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน  อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น .....

โดยเหตุที่พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ดังนั้นเราจึงไม่ทราบจริงๆ เลยว่าพระองค์ทรงมีพระลักษณะอย่างไร 
พระเจ้าไม่ปรารถนาที่จะให้เรานมัสการรูปปั้นหรือรูปเคารพใดๆ  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สมควรได้รับการนมัสการจากเรา  พระองค์ไม่ปรารถนาที่จะให้คุณไปลุ่มหลงอยู่กับสิ่งอื่นหรือผู้อื่น

 อพยพ 20:7   อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอย่างไร้ประโยชน์ เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไร้ประโยชน์นั้นพระเยโฮวาห์จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้  

พระเจ้ากำลังตรัสบอกให้เราทราบว่าเราควรจะพูดถึงพระองค์ด้วยความระมัดระวังและยำเกรง  ทุกวันนี้มนุษย์มักจะใช้พระนามของพระองค์ไปในทางที่ผิดอยู่บ่อยๆ และยังมีหลายคนที่ใช้พระนามของพระองค์เป็นคำด่าอีกด้วย  พระองค์เป็นผู้ที่สมควรที่จะได้รับความเคารพยำเกรงและการถวาย
พระเกียรติอย่างสูงสุดจากเราทั้งหลาย

อพยพ 20 :8-11 จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์   จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพราะในหกวันพระเยโฮวาห์ทรงสร้างฟ้า และแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์  

พระเจ้าตรัสว่าวันที่ 7  นั้นเป็นวันสำหรับพักผ่อนและระลึกถึงพระองค์  เราควรจะกำหนดวันหนึ่งที่เราจะแยกการทำงานตามปกติออกไปเสียต่างหากเพื่อเราจะสามารถนมัสการและสรเสริญพระองค์ได้อย่างเต็มที่

อพยพ 20:12  จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า   

พระเจ้าตรัสว่าเด็กๆ จะต้องเคารพและเชื่อฟังบิดามารดาของตน  การพูดโต้เถียง การไม่แยแสสนใจ การโต้แย้ง การแง่งอน และการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอาการที่แสดงความไม่เคารพนับถือ  มีเด็กคนใดบ้างที่ได้เชื่อฟังพระบัญญัติข้อนี้อย่างสมบูรณ์ทุกๆ เวลา  ทุกๆ วัน และทุกๆ ปี?

อพยพ 20:13  อย่าฆ่าคน  

พระบัญญัติของพระเจ้าข้อนี้คือ ความคิดที่ยังไม่ได้เป็นการกระทำ ก็ถือว่าเป็นความผิดด้วย พระองค์ตรัสว่าถ้าคุณโกรธผู้หนึ่งผู้ใดคุณก็ได้กระทำการฆาตกรรมในใจของคุณแล้ว  ถ้าคุณโกรธผู้อื่นคุณก็มีความผิดในฐานที่ได้ฝ่าฝืน

พระบัญญัติข้อนี้แล้ว

อพยพ 20:14  อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา  

ในพระบัญญัติข้อนี้พระเจ้ากำลังตรัสว่าเวลาเดียวสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ที่ยอมรับได้นั้น คือเวลาหลังจากที่คุณได้แต่งงานแล้วและจะมีเพศสัมพันธ์กับคู่สมรสของคุณได้เท่านั้น  พระองค์ทรงอธิบายว่าถ้าคุณมีใจเร่าร้อนด้วยตัณหาราคะกับบุคคลอื่นหรืออาจจะถึงขั้นที่จินตนาการว่าได้มีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่สมรสของคุณคุณก็มีความผิดในฐานที่ได้ฝ่าฝืนพระบัญญัติข้อนี้แล้ว  

อพยพ 20:15  อย่าลักทรัพย์

พระเจ้าตรัสว่าคุณจะต้องไม่เอาสิ่งใดๆ ที่เป็นของของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง  พระเจ้าทรงให้แต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะรักษาทรัพย์สินของตนเอง  คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าตนเองเป็นขโมย แต่ลองถามตัวคุณเองดูว่า“ฉันเคยเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีค่าแม้เพียงเล็กน้อยแต่ไม่ได้เป็นของของฉันมาเป็นของตนเองหรือเปล่า” ถ้าคุณเคยทำล่ะก็คุณก็มีความผิดในฐานที่ได้ฝ่าฝืนพระบัญญัติข้อนี้แล้ว

อพยพ 20:16  อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน 

พระเจ้าทรงพิพากษาปรับโทษการโกหกและการบิดเบือนความจริง  ซาตานเป็นพ่อแห่งการโกหกและผู้หนึ่งผู้ใดที่พูดโกหกก็ประพฤติตามซาตาน  ไม่มีแม้สักคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่และสามารถจะกล่าวอ้างด้วยความสัตย์จริงได้ว่าตัวเองไม่เคยฝ่าฝืนพระบัญญัติข้อนี้เลย  

อพยพ 20:17  อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือวัว ลาของเขา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน   

พระเจ้าไม่ปรารถนาที่จะให้คุณอยากได้ในสิ่งที่คนอื่นครอบครองอยู่  พระองค์ทรงปรารถนาให้คุณพอใจในสิ่งที่คุณมี และไม่โลภหรืออิจฉาริษยาในทรัพย์สิน ความสามารถ และรูปร่างลักษณะของผู้อื่น

ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเหมือนโซ่เส้นหนึ่ง  ถ้าเราทำลายกฎบัญญัติของพระเจ้าเพียงข้อเดียวหรือทำลายห่วงของโซ่เพียงห่วงเดียวจะเกิดอะไรขึ้น? โซ่ทั้งเส้นย่อมจะขาดออกจากกัน!  นี่ก็เป็นเช่นเดียวกันกับธรรมบัญญัติของพระเจ้าด้วย  พระองค์ทรงเรียกร้องให้คนเหล่านี้รักษากฎบัญญัติทุกข้อของพระองค์ มิฉะนั้นพวกเขาก็จะตายเพราะการไม่เชื่อฟังของตนเอง  กฎบัญญัติเหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าด้วยความพยายามของเราเอง  ถ้าชนชาติอิสราเอลทั้งหลายเข้าใจเรื่องนี้พวกเขาก็คงจะเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดองค์นั้น  นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระเจ้าเสมอมา พระองค์ทรงปรารถนาที่จะสำแดงให้พวกเขาทราบว่าความหวังเพียงอย่างเดียวของเขาจะเกิดขึ้นโดยทางพระผู้ช่วยให้รอดที่จะเสด็จมานั้น

 ธรรมบัญญัติของพระเจ้าทำให้คนทั้งหลายที่อวดอ้างว่าชีวิตของเขาดีพอแล้วที่จะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าให้สงบปากสงบคำลง  ไม่มีใครที่ศึกษาพระบัญญัติ 10 ประการแล้วจะไม่รู้สึกถึงความผิดบาปของตนเอง  มนุษย์ไม่เพียงแต่จะรู้สึกถึงความผิดบาปของตนเองเท่านั้นเขายังรู้สึกถึงความสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างของพระเจ้าด้วย  ธรรมบัญญัติไม่สามารถจะเชื่อมช่องว่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าได้  ธรรมบัญญัติเป็นเหมือน  เครื่องวัดอุณหภูมิที่สามารถจะแสดงให้เราเห็นว่าเรากำลังเจ็บป่วย แต่ไม่ได้ช่วยทำให้เราดีขึ้นเลย

คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป อย่างไรก็ตามมีน้อยคนที่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาปที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และนี่เป็นข้อแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน  คนเหล่านั้นที่เพียงแต่กล่าวว่าพวกเขาเองเป็นคนบาปเชื่อว่าเขาสามารถจะกระทำบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้ตนเองเป็นที่ยอมรับของ
พระเจ้าได้  ความเชื่อที่ว่าความดีของผู้ใดผู้หนึ่งอาจจะมีน้ำหนักมากกว่าความเลวของเขาเพราะฉะนั้นจึงทำให้เขาได้รับการยอมรับจากพระเจ้าได้นั้นเป็นการล่อลวงของซาตาน  การทำความดีนั้นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม  แต่การกระทำเหล่านี้ไม่มีสักสิ่งเดียวที่สามารถจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเรากับ
พระเจ้าที่ขาดสะบั้นลงได้   คนบาปที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ 
รู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถจะกระทำเพื่อทำให้ตนเองเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้   พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้เรายอมรับว่าเราได้ฝ่าฝืนธรรมบัญญัติของพระองค์และเราไม่สามารถจะช่วยตัวเองให้รอดได้  พระองค์ทรงปรารถนาให้เราเพ่งมองไปยังพระผู้ช่วยให้รอดผู้ซึ่งสามารถจะกระทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมและเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้

 คำถามบทที่ 12

1. หาดราพยายามปฏิบัติตัวเป็นคนดีและทำดีให้มากที่สุด
  พรเจ้าจะทรงอนุญาตให้เราไปสวรรค์ได้หรือไม่

ก) ได้

ข) ไม่ได้

2. การบูชารูปเคารพเป็นบาปหรือไม่

ก) เป็น

ข) ไม่เป็น

3. พระเจ้าทรงตรัสหรือไม่ว่าถ้าเราเกลียดชังใคร ท่านก็
    เปรียบเสมือนเป็นฆาตกรทางจิตใจกับคนนั้น

ก) ใช่

ข) ไม่ใช่

4. พระเจ้าทรงตรัสหรือไม่ว่าการคิดถึงหญิงหรือชายอื่นที่ไม่ใช่สามีภรรยาของตนในทางเพศถือเป็นการล่วงประเวณีด้วย

ก) ใช่

ข) ไม่ใช่

5. การเป็นชู้เป็นบาปหรือไม่

ก) เป็น

ข) ไม่เป็น

6. การโกหกเป็นบาปหรือไม่

ก) เป็น

ข) ไม่เป็น

7. มีใครหรือไม่ที่สามารถถือบัญญัติทั้งสิบประการได้โดยไม่
    ประพฤติผิดแม้แต่ข้อเดียว

ก) มี

ข) ไม่มี