ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: natwill78

เรียนพระคัมภีร์จากยุคสร้างโลกถึงชีวิตพระเยซูคริสต์

บทที่ 10 – ยาโคบและโยเซฟ


เรื่องราวที่เราจะมาศึกษากันในบทเรียนนี้เริ่มต้นขึ้นในแผ่นดินคานาอัน แต่จะจบลงตรงที่เชื้อสายของอับราฮัมไปอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์   ภายหลังเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงไว้ชีวิตอิสอัคได้ผ่านพ้นไประยะเวลาหนึ่งแล้วนางซาราห์ภรรยาของอับราฮัมก็เสียชีวิตลง  พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าอิสอัคจะเป็นต้นกำเนิดของพงศ์พันธุ์เป็นอันมากซึ่งรวมไปถึง “พระผู้ช่วยให้รอด”ด้วย   อับราฮัมได้ส่งคนรับใช้ให้ไปเสาะหาภรรยาคนหนึ่งจากบรรดาเครือญาติของเขามาให้แก่อิสอัค   คนรับใช้จึงได้นำนางเรเบคาห์กลับมาด้วย  ในไม่ช้าอิสอัคกับนางเรเบคาห์ก็ได้แต่งงานกันและมีบุตรชายด้วยกัน 2 คนคือ
เอซาวและยาโคบ

ปฐมกาล 25:27   เด็กชายทั้งสองนั้นโตขึ้น เอซาวก็เป็นพรานที่ชำนาญ เป็นชาวทุ่ง  ฝ่ายยาโคบเป็นคนเงียบๆ อาศัยอยู่ในเต็นท์

เอซาวเป็นนายพรานที่มีความชำนาญ  เขาใช้เวลาในการแกะรอยและตามไปฆ่าสัตว์ป่าในทุ่ง  ตามธรรมดาแล้วพระสัญญาทั้งหลายของพระเจ้าเกี่ยวกับ “พระผู้ช่วยให้รอด”จะต้องผ่านมาทางเอซาวเพราะเขาเป็นบุตรหัวปี อย่างไรก็ตามเอซาวไม่สนใจในพระสัญญาของพระเจ้า  เอซาวไม่ได้ไว้วางใจพระเจ้าเหมือนอย่างที่อับราฮัมและอิสอัคได้เคยไว้วางใจมาแล้ว  เอซาวมีลักษณะคล้ายกับคาอิน  เอซาววางแบบแผนชีวิตของเขาตามความคิดของตนเองและกระทำตามใจปรารถนาของตนเอง  เอซาวไม่เห็นว่าตนเองเป็นคนบาปและจำเป็นจะต้องเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า  ขณะที่เราอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเอซาวเราก็พบว่าเอซาวมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งของในโลกนี้  สิ่งต่าง ๆเหล่านี้มีความสำคัญต่อ     เอซาวมากกว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะประทานแก่เขา

ยาโคบดำเนินชีวิตอย่างเงียบ ๆในเต็นท์พักอาศัยของเขาและเลี้ยงฝูงแกะและวัวควาย  ยาโคบเชื่อพระเจ้าเช่นเดียวกับอับราฮัมและอิสอัค  เขาใส่ใจกับพระเจ้าและ

พระสัญญาต่าง ๆของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง  เราทุกคนควรจะถามตัวเองว่า“ฉันกำลังหันออกจากสัจธรรมของพระเจ้าและประพฤติตามทางของตนเองเหมือนอย่างคาอินและเอซาวหรือเปล่า? หรือว่าฉันเป็นเหมือนอย่าง      อาแบล โนอาห์  อับราฮัม  อิสอัค และยาโคบที่ยอมรับความผิดบาปของตนเองและไว้วางใจในพระเจ้าว่าจะทรงจัดเตรียม“พระผู้ช่วยให้รอด”มาช่วยเราให้รอดพ้นจากความผิดบาปเหล่านี้     

ความแตกต่างอย่างมากมายระหว่างเอซาวกับยาโคบได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เอซาวขู่จะฆ่ายาโคบเสีย ดังนั้นยาโคบจึงต้องละทิ้งบ้านเรือนของบิดามารดาและออกเดินทางรอนแรมกลับไปยังแผ่นดินที่ปู่ได้เคยอาศัยอยู่

 

ปฐมกาล 28:11,12  เขามาถึงที่แห่งหนึ่งและพักอยู่ที่นั่นในคืนนั้นเพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาเอาหินจากที่นั่นมาเป็นหมอนหนุนศีรษะแล้วนอนลงที่นั่น เขาฝันและดูเถิด มีบันไดอันหนึ่งตั้งขึ้นบนแผ่นดินโลก ยอดถึงฟ้าสวรรค์  ดูเถิด ทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระเจ้ากำลังขึ้นลงอยู่บนนั้น  

ยาโคบใช้เวลาเดินทางหลายสัปดาห์  คืนวันหนึ่งขณะที่ยาโคบกำลังนอนหลับอยู่บนภูเขาพระเจ้าได้ทรงบันดาลให้ยาโคบฝันไป โดยในความฝันนั้น    พระเจ้าทรงสำแดงให้ยาโคบเห็นว่า“พระผู้ช่วยให้รอด”ที่จะเสด็จมานั้นจะทรงเชื่อมช่องว่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถจะกระทำให้เกิดหนทางที่มนุษย์จะมาถึงพระองค์ได้  มนุษย์จะพยายามทำความดีมากสักเท่าไรก็ไม่สามารถจะเชื่อมช่องว่างนี้ได้  เมื่ออาดัมและเอวาทำบาปในสวนเอเดนนั้นบันไดที่นำไปถึงพระเจ้าก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปเสีย  ดังนั้นวิธีเดียวที่มนุษย์จะสามารถมาถึงพระเจ้าได้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ  พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดหนทางขึ้นมาเท่านั้น  พระเจ้าได้ทรงสัญญาว่าจะส่ง “พระผู้ช่วยให้รอด” องค์หนึ่งซึ่งจะเป็นเหมือนบันไดที่ยาโคบเห็น นั่นคือบันไดที่จะทอดจากแผ่นดินโลกไปถึงฟ้าสวรรค์  ยาโคบเองก็เป็นคนบาปเหมือนเราทุกคน พระเจ้าจึงทรงสำแดงให้   ยาโคบทราบว่ามีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะนำไปถึงพระเจ้าได้ นั่นคือ ยาโคบจะต้องมอบความไว้วางใจไว้กับพระเจ้า  

ในที่สุดยาโคบก็เดินทางไปจนถึงบ้านเกิดของ

อับราฮัม  เขาได้พบกับบรรดาเครือญาติของมารดาและได้แต่งงานกับหลานสาว 2 คนของมารดา ซึ่งมีชื่อว่า เลอาห์และราเชล    ยาโคบมีบุตรถึง 12 คน   หลังจากเวลาที่ได้ล่วงเลยไปเป็นเวลา 20 ปียาโคบก็กลับไปหาอิสอัคบิดาของเขา แล้วสันติภาพระหว่างยาโคบกับเอซาวพี่ชายของเขาก็เกิดขึ้น 

โยเซฟ เป็นบุตรชายคนโปรดของยาโคบ ซึ่งเป็นเหตุให้บรรดาพี่ชายทั้งหลายเกลียดชังโยเซฟ  พระเจ้าทรงบันดาลให้โยเซฟฝันถึง 2 ครั้งเพื่อเปิดเผยให้โยเซฟทราบว่าเขาจะได้ปกครองเหนือตระกูลของเขาเอง

ปฐมกาล 37:5-10  คราวหนึ่งโยเซฟฝัน แล้วเล่าให้พวกพี่ชายฟัง พวกพี่ชายยิ่งชังโยเซฟมากขึ้น โยเซฟเล่าว่า “ฟังความฝันซึ่งข้าพเจ้าฝันเห็นซิ ดูเถิด พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้นฟ่อนข้าวของข้าพเจ้าตั้งขึ้นยืนตรง และดูเถิด ฟ่อนข้าวของพวกพี่ๆ มาแวดล้อมกราบไหว้ฟ่อนข้าวของข้าพเจ้า” พวกพี่ชายจึงถามโยเซฟว่า “เจ้าจะปกครองเรากระนั้นหรือ เจ้าจะมีอำนาจครอบครองเราหรือ”  พวกพี่ชายก็ยิ่งชังโยเซฟมากขึ้นอีกเพราะความฝัน และเพราะคำของเขา   ต่อมาโยเซฟก็ฝันอีก จึงเล่าให้พวกพี่ชายฟังว่า  “ดูเถิด ข้าพเจ้าฝันอีกครั้งหนึ่ง เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวสิบเอ็ดดวงกำลังกราบไหว้ข้าพเจ้า”  เมื่อเล่าให้บิดาและพวกพี่ชายฟัง บิดาก็ว่ากล่าวโยเซฟว่า “ความฝันที่เจ้าได้ฝันเห็นนั้นหมายความว่าอะไร เรากับมารดาและพวกพี่ชายของเจ้าจะมาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เจ้ากระนั้นหรือ”

    พี่ชายทั้งหลายรู้สึกอิจฉาริษยาโยเซฟเป็นอย่างยิ่ง  วันหนึ่งพี่ชายเหล่านั้นได้ขายโยเซฟไปเป็นทาสของกลุ่มพ่อค้าที่กำลังเดินทางไปยังประเทศอียิปต์  แล้วพวกพี่ๆ ก็ได้ร่วมมือกันทำให้บิดาคิดว่าโยเซฟถูกสัตว์ป่าฆ่าตายเสียแล้ว  กลุ่มพ่อค้าได้ขายโยเซฟให้แก่โปทิฟาร์ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์  ของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งประเทศอียิปต์  เหตุการณ์ทุกอย่างได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆสำหรับโยเซฟซึ่งอาศัยอยู่ในเรือนที่เขาทำงานอยู่นั้น  แต่เมื่อภรรยาของโปทิฟาร์ใส่ร้ายโยเซฟ ๆก็ถูกนำตัวไปขังไว้ในเรือนจำ

ปฐมกาล 39:21,22  แต่ว่าพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ และทรงสำแดงพระเมตตาแก่เขา ทรงให้เขาเป็นที่โปรดปรานในสายตาของผู้คุมเรือนจำ ผู้คุมเรือนจำก็มอบนักโทษทั้งปวงที่ในเรือนจำไว้ในความดูแลของโยเซฟ การงานที่ทำในที่นั้นทุกอย่างโยเซฟเป็นผู้กระทำ  

โยเซฟยังคงไว้วางใจพระเจ้าแม้ว่าเขาจะถูกพวกพี่ชายเกลียดชัง และถูกภรรยาของเจ้านายแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาใส่ร้ายเขา  โยเซฟไว้วางใจในพระสัญญาทั้งหลายของพระเจ้าเช่นเดียวกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ  ไม่มีใครสามารถจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้นอกจากเขาจะเชื่อในสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้นั้น แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ทำให้โยเซฟผิดหวังเลยแม้ว่าเขาจะถูกขังอยู่ในเรือนจำก็ตาม   พระเจ้าทรงดูแลโยเซฟเพราะว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ดีเลิศสำหรับชีวิตของเขา  ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อโยเซฟถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำแล้วชีวิตจะสามารถพลิกผันขึ้นมาปกครองเหนือตระกูลของเขาได้ แต่พระเจ้าทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์เสมอ

วันหนึ่งฟาโรห์กษัตริย์ของประเทศอียิปต์ได้เกิดนิมิตฝัน 2 เรื่องที่เกี่ยวข้องกัน  กษัตริย์ฟาโรห์ไม่ได้รู้จักหรือนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อยู่ เพราะชาวอียิปต์นั้นนมัสการดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ดวงดาว  สัตว์ต่าง ๆ และแม่น้ำไนล์  พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะแจ้งข่าวสำคัญเรื่องหนึ่งให้กษัตริย์ฟาโรห์ทราบทางความฝัน แต่กลับไม่มีใครสามารถตีความความฝันนั้นได้  แล้วกษัตริย์ฟาโรห์ก็ได้รับรายงานว่ามีชายผู้หนึ่งที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำของพระองค์ ซึ่งมีชื่อว่าโยเซฟสามารถจะตีความความฝันให้แก่พระองค์ได้  

โยเซฟจึงถูกนำตัวมาอยู่เบื้องหน้ากษัตริย์ฟาโรห์  เพื่อจะตีความความฝันของพระองค์  โยเซฟได้ทูลกษัตริย์ฟาโรห์ว่าพระเจ้ากำลังจะนำความอุดมสมบูรณ์เป็นเวลา 7 ปีซึ่งจะตามมาด้วยการกันดารอาหารนาน 7 ปีให้เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก แต่การกันดารอาหารนั้นจะรุนแรงมากจนกระทั่งความอุดมสมบูรณ์ในช่วงเวลา 7 ปีนั้นจะถูกลืมไปเลยทีเดียว  

โยเซฟได้ทูลถวายคำปรึกษาแก่กษัตริย์ฟาโรห์ให้ทรงเลือกชายผู้หนึ่งมาดูแลบรรดาพนักงานของแผ่นดิน  ซึ่งจะทำหน้าที่เก็บรวบรวมอาหาร 20% ในช่วงแห่งความอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งเป็นเวลา 7 ปีนั้นเพื่อจะเก็บสะสมอาหารเหล่านั้นไว้สำหรับช่วงกันดารอาหารนาน 7 ปีดังกล่าว  การกระทำเช่นนี้จะทำให้มีอาหารอย่างเพียงพอตลอดเวลาในช่วงกันดารอาหาร   นอกจากนี้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศใกล้เคียงก็สามารถจะเดินทางมาซื้ออาหารจากประเทศอียิปต์ได้ กษัตริย์ฟาโรห์รู้สึกประทับใจในการทำนายฝันของโยเซฟมากและได้ทรงยกตำแหน่งผู้นำสูงที่สุดทั่วทั้งประเทศอียิปต์ให้แก่เขา ดังนั้น

โยเซฟจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศอียิปต์   มีเพียงกษัตริย์ฟาโรห์เท่านั้นที่มีตำแหน่งสูงกว่าโยเซฟ  โยเซฟผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากมาได้และทำให้เข้าใจได้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือเหตุการณ์ทั้งปวง  พระเจ้าไม่ได้หลงลืม

โยเซฟขณะที่เขาถูกขังอยู่ในเรือนจำ  ความฝันเหล่านั้นที่

พระเจ้าได้ทรงประทานแก่   โยเซฟเมื่อเขายังเป็นเด็กหนุ่มก็กำลังจะสำเร็จแล้ว 

ภายหลังจากที่ 7 ปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว 7 ปีแห่งการกันดารอาหารก็ได้เริ่มต้นขึ้น  การกันดารอาหารในครั้งนี้ได้แผ่ขยายเข้าไปในประเทศใกล้เคียงเช่น แผ่นดินคานาอัน  แม้แต่อาหารของบิดาและบรรดาพี่ชายทั้งหลายของโยเซฟก็หมดลง  ยาโคบจึงส่งพวกพี่ชายของ
โยเซฟไปยังประเทศอียิปต์เพื่อซื้ออาหาร  โยเซฟจำพี่ชายทั้งหลายของเขาได้แต่พี่ชายเหล่านั้นจำ     โยเซฟไม่ได้จึงได้ก้มลงกราบไหว้โยเซฟ  

 ปฐมกาล 42: 1-3, 6.  เมื่อยาโคบรู้ว่ามีข้าวในอียิปต์ ยาโคบจึงพูดกับพวกบุตรชายของตนว่า “มานั่งมองดูกันอยู่ทำไมเล่า”  ท่านพูดว่า “ดูเถิด เราได้ยินว่ามีข้าวในอียิปต์ ลงไปซื้อข้าวจากที่นั่นมาให้พวกเราเพื่อพวกเราจะได้มีชีวิตและไม่อดตาย” พี่ชายของโยเซฟสิบคนก็ลงไปซื้อข้าวที่อียิปต์ .... ฝ่ายโยเซฟเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านเป็นผู้ที่ขายข้าวให้แก่บรรดาประชาชนแห่งแผ่นดิน พวกพี่ชายของโยเซฟก็มากราบไหว้ท่าน ก้มหน้าลงถึงดิน

พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้เหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นตามที่พระองค์ได้ทรงสำแดงแก่โยเซฟในความฝันเมื่อเขายังเป็นเด็กหนุ่ม  บรรดาพี่ชายทั้งหลายของโยเซฟได้ก้มลงกราบไหว้โยเซฟจริงๆ  แล้วโยเซฟก็ร้องไห้  ขณะที่เขาเปิดเผยให้พี่ชายทั้งหลายทราบว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองเป็นใคร  แต่แทนที่โยเซฟจะปฏิบัติต่อพวกพี่ๆ อย่างรุนแรงเพื่อให้สาสมกับสิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับนั้น  โยเซฟกลับชี้แจงแก่บรรดาพี่ชายเหล่านั้นว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือสถานการณ์นี้  และพระองค์ได้ทรงใช้การกระทำที่เลวร้ายของพวกพี่ชายให้กลับกลายเป็นสิ่งที่ดี   

โยเซฟได้สั่งให้พวกพี่ๆ กลับไปยังแผ่นดินคานาอันเพื่อนำบิดาและครอบครัวทั้งหมดมายังประเทศอียิปต์ที่ซึ่งพวกเขาสามารถจะมีชีวิตรอดจากการกันดารอาหารได้  ยาโคบและโยเซฟจึงได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง  กษัตริย์ฟาโรห์ได้ทรงอนุญาตให้ครอบครัวของยาโคบอาศัยอยู่ในแผ่นดินส่วนที่ดีที่สุดของประเทศอียิปต์ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาได้อาศัยอยู่เป็นเวลาถึง 400  ปี หลายๆ ปีผ่านไปพวกเขาก็ทวีจำนวนขึ้นอย่างมากมายจนกลายเป็นชนชาติใหญ่ 

พระเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อยาโคบเป็นอิสราเอล   ดังนั้นเชื้อสายทั้งหมดของเขาจึงเป็นที่รู้จักกันในนามชนชาติอิสราเอล หรือประเทศอิสราเอลนั่นเอง

คำถามบทที่ 10

1. เอซาวเชื่อฟังพระเจ้าเหมือนพ่อของเขาหรือไม่      

ก) เชื่อ

ข) ไม่เชื่อ

2. ยาโคบเชื่อฟังพระเจ้าเหมือนพ่อของเขาหรือไม่      

ก) เชื่อ

ข) ไม่เชื่อ

3. พระเจ้าทรงให้ยาโคบฝันถึงอะไร

ก)  พระอาทิตย์และพระจันทร์โน้มลงมาหาเขา

ข)  เอซาวโค้งคำนับให้เขา

ค)  บันไดที่ยื่นลงมาจากสวรรค์ยังพื้นโลกโดยมีทูต     สวรรค์กำลังขึ้นลงบันไดนั้น

4. ความฝันนั้นหมายถึงอะไร

ก) พระเจ้าทรงทำให้เห็นว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้

ข) พระเจ้าทรงทำให้เห็นว่าเขาจะได้ไปสวรรค์หลังจากที่     เขาตาย

ค) ยาโคบจะสร้างวัดในที่นั้น

5. ใครเป็นลูกที่ยาโคบรักมากที่สุด

ก) อิสอัค    

ข) เอซาว 

ค) โยเซฟ

6. พี่ชายโยเซฟทำอะไรกับโยเซฟ

ก) ฆ่าเขา     

ข) ขายเขาไปเป็นทาส    

ค) ให้โยเซฟเป็นกษัตริย์

7. ทำไมโยเซฟจึงติดคุก

ก) เขาฆ่าโปทิฟาร์

ข) ภรรยาโปทิฟาร์โกหกเรื่องโยเซฟ

ค) เขาขโมยเงินของโปทิฟาร์

8. .ใครช่วยโยเซฟให้แก้ฝันของฟาโรห์ได้  

ก) ซาตาน

ข) พระพุทธเจ้า          

ค) พระเจ้า

9. พระเจ้าทรงทำตามพระสัญญาที่ว่าจะทรงให้โยเซฟมีอำนาจ
    ครอบครองเหนือครอบครัวของเขาหรือไม่

ก) ทรงทำ

ข) ไม่ทรงทำ

10. พระเจ้าทรงทำตามพระสัญญาที่ว่าครอบครัวของโยเซฟจะ
       มาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เขาหรือไม่

ก) ทรงทำ

ข) ไม่ทรงทำ