ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: 0871937157
พื้นฐานของความรอด
เล่ม 4 ใน 4 เล่ม
พื้นฐานของความรอด
ทบทวนบทเรียนที่ผ่านมา บทที่ 4
ในบทเรียนชุดก่อนเราเรียนรู้เรื่องการมองดูสิ่งทั้งหลายอย่างพระเจ้า พระธรรม 1 ซามูเอล 16:7 บอกเราว่า มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรจิตใจ คนมากมายที่กำลังหาทางไปถึงชีวิตนิรันดร์มักจะละเลยเรื่องนี้ เพราะคิดเอาเองว่าเวลาตายแล้วเมื่อยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เขาจะพูดอย่างไรก็ได้ตามความคิดของตัวเอง แล้วพระเจ้าก็จะโปรดให้เข้าสวรรค์ได้ แต่พระคัมภีร์บอกเราว่าเราจะถูกพิพากษาตามความจริง คือตามพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่ ตามใจเรา พระเจ้าทรงมอบธรรมบัญญัติไว้ในพันธสัญญาเดิมเพื่อให้เราได้เตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนรับการพิพากษา ธรรมบัญญัติช่วยเราให้รู้ว่าความชอบธรรม ความบริสุทธิ์และการดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้าคือสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยและทรงเห็นว่ามีคุณค่า พระเจ้าทรงให้ธรรมบัญญัติไว้ทั้งหมด 613 ข้อ แต่ที่เราคุ้นเคยกันส่วนใหญ่มีเพียง 10 ข้อซึ่งถือเป็นสรุปรวบยอดของธรรมบัญญัติทั้งหมดในพันธสัญญาเดิม ธรรมบัญญัติทั้ง 10 ข้อนี้รวมเรียกว่า พระบัญญัติ 10 ประการ
พระบัญญัติ 10 ประการนี้สรุปตามที่เราเรียนรู้คือ เป็นไปไม่ได้ที่คนจะพูดว่า “ ฉันเป็นคนบริสุทธิ์ปราศจากบาป “ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดี สัตย์ซื่อ เรียนรู้พระวจนะของพระเจ้ามากมายแค่ไหนก็ตาม เพราะเราทุกคนล้วนทำความผิด ล่วงละเมิดพระบัญญัติกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโดยการพูดปดมดเท็จซึ่งเราต่างก็ทำกันมามากมายหลายครั้ง การลักขโมยตอนนั้นบ้างตอนนี้บ้าง หรือแม้แต่การหมิ่นประมาทพระเจ้าที่เราทำแล้วทำอีก พระคัมภีร์บอกเราว่า เวลาเรายืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า แม้ว่าเราจะทำผิดพระบัญญัติเพียงแค่จุดเดียว หรือตลอดชีวิตทำบาปแค่ครั้งเดียวเราก็มีโทษเท่ากับคนที่ทำผิดพระบัญญัติทั้งหมด
บทเรียนชุดต่อมาเราเรียนรู้ว่า พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงมองดูคนเป็นสองพวกคือ พวกหนึ่งเป็นพวกที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ พวกนี้เป็นคนที่ละเมิดพระบัญญัติและพระเจ้าไม่ทรงโปรดยกโทษให้ ส่วนอีกพวกหนึ่งก็เป็นพวกที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ความจริงพวกหลังนี้ก็ละเมิดพระบัญญัติเหมือนกัน แต่พระเจ้าทรงโปรดยกโทษให้ ที่คนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาทำ ไม่ใช่เพราะการกระทำของตัวเอง ไม่ใช่ผลจาการประพฤติตนเป็นคนชอบธรรม หรือไม่ใช่เพราะความดีใด ๆที่เขาทำทั้งสิ้น เพราะพระเจ้าตรัสว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเศษผ้าขี้ริ้วในสายพระเนตร การที่คนเราจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าหรือไม่ขึ้นอยู่กับเพียงสิ่งเดียวคือ พระเมตตาคุณของพระเจ้าเท่านั้น
และในบทเรียนเล่มท้ายสุด เราพูดกันถึงเรื่องที่พระเจ้าทรงสับเปลี่ยนเราจากจุดที่เราควรจะยืนอยู่ไปสู่อีกจุดหนึ่งได้อย่างไร หรือพูดอีกอย่างคือ ทรงทำให้เราที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ไปรวมอยู่ในกลุ่มของคนที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ได้อย่างไร พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้ได้โดยการให้พระเยซูทรงตายแทนเราบนกางเขน อันที่จริงผู้ที่สมควรตายคือเรา แต่พระเยซูทรงตายแทนเรา ทรงรับโทษทัณฑ์ความผิดบาปแทนเรา เพื่อเราจะได้รับการทรงโปรดยกโทษ บาปกรรมทั้งมวลของคนทั้งโลกได้รับการชำระให้หมดไปแล้วเมื่อพระเยซูทรงตายบนกางเขน
แต่แม้ว่าการทรงตายของพระเยซูเพื่อคนทั้งปวงนั้นเป็นความจริงเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับผลในเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ พระคัมภีร์อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน และในบทเรียนเล่มสี่ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายของบทเรียนชุดนี้ เราจะมาดูกันว่าเราต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อที่จะเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลของการทรงตายบนกางเขนของพระเยซู และจะรับไว้ได้ด้วยวิธีไหน เพื่อพระเจ้าจะทรงโปรดละเว้นการลงโทษทัณฑ์และยกโทษผิดบาปให้แก่เรา
องค์ประกอบหลัก 2 ประการของความรอด
มาระโก 1:14 – 15 “ครั้นยอห์นถูกขังไว้ในคุกแล้ว พระเยซูได้เสด็จมายังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรของพระเจ้า และตรัสว่า ‘ เวลากำหนดมาถึงแล้ว ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด’”
จำที่เราพูดกันไว้ด้วยว่า ข่าวประเสริฐหรือพระกิตติคุณ คือ ความรู้ที่ว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์ ทรงถูกฝังและทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูทรงตายเพื่อชดใช้ความผิดบาปที่เรามี ทรงถูกฝังและทรงเป็นขึ้นในวันที่สามตรงตามที่ผู้เผยพระวจนะพยากรณ์ไว้ในพระคัมภีร์อย่างไม่ผิดเพี้ยนทุกประการ
พูดได้อีกอย่างคือ พระเยซูไม่ได้ทรงกำเนิดมาในโลกนี้โดยไม่มีสาเหตุ การสิ้นพระชนม์ การทรงถูกฝัง และการคืนพระชนม์ล้วนแต่เกิดขึ้นตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ก่อนแล้ว พระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องนี้ให้มนุษย์ทราบตั้งแต่เริ่มแรกในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 3 ในนั้นพระเจ้าทรงบอกเราว่าพระเยซูจะเสด็จมาบังเกิดอย่างไร ที่ไหน ตลอดจนจะประทับที่ไหน จะทรงถูกใครทรยศ ทรยศอย่างไร และจะทรงตายเพราะอะไรรวมทั้งจะทรงเป็นขึ้นมาอย่างไรด้วย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลกนี้ตรงตามที่พระเจ้าทรงบอกไว้ทุกประการ พระเยซูไม่ได้ทรงเป็นเพียงผู้เผยพระวจนะหรืออาจารย์สอนศาสนาอีกคนหนึ่ง หากแต่ทรงเป็นพระเจ้าแท้ผู้เสด็จมารับสภาพเนื้อหนังของมนุษย์
จากพระธรรมมาระโก 1 เราได้เห็นว่าพระเยซูเสด็จมาในโลกนี้เพื่อบอกเราถึงพระกิตติคุณหรือข่าวประเสริฐ แต่คำถามมีอยู่ว่ามนุษย์จะรับพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าของตนได้อย่างไร และจะต้องเตรียมการอย่างไรเพื่อให้ตนเองได้รับชีวิตนิรันดร์ คำตอบในเรื่องนี้คือพระดำรัสของพระเยซูที่ว่า “ จงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐ”
แต่ในกรณีที่คุณคิดว่าคำสอนของพระเยซูอาจจะต่างไปจากคำสอนของผู้รับใช้คนอื่น ๆ ในพระคัมภีร์ก็ขอให้เปิดไปดู พระธรรมกิจการ 20: 20-21 แล้วคุณจะเห็นว่าอัครสาวกเปาโลก็พูดไว้แบบเดียวกับพระเยซูว่า “ และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็นกับได้สั่งสอนท่านต่อหน้าคนทั้งปวงและตามบ้านเรือน ทั้งเป็นพยานแก่พวกยิว และพวกกรีกถึงเรื่องการกลับใจใหม่เฉพาะพระเจ้า และความเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ”
มนุษย์จะกลายเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้าได้อย่างไร เราต่างก็รู้ว่าไม่มีใครเป็นคนชอบธรรมได้ด้วยตัวเอง เพราะการเป็นคนชอบธรรมนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงานของตัวเราเองแต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำให้ แต่เราก็ต้องไม่ลืมด้วยว่าแม้พระเยซูคริสต์จะทรงตายเพื่อเราทุกคนก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้ไปสวรรค์ เพราะยังมีคนอีกมากที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระกิตติคุณของพระองค์ เปาโลบอกว่าการที่เราจะเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้านั้น ทำได้โดยการกลับใจใหม่ สำนึกผิดต่อพระองค์และเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่พระเยซูตรัสว่า จงกลับใจเสียใหม่และเชื่อข่าวประเสริฐ ในตอนนี้ขอให้เรามาพิจารณาดูองค์ประกอบของความรอดนี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้นด้วยกันเลย
การกลับใจใหม่
เราจะดูรายละเอียดของเรื่องนี้ตามพระคัมภีร์ก่อน สิ่งสำคัญคือเราจะดูว่าพระเจ้าทรงมองดูเรื่องนี้อย่างไร อันที่จริงพระองค์ได้ตรัสเรื่องนี้ไว้หลายตอนด้วยกัน แต่ในที่นี้เราจะยกมาพิจารณาดูกันเพียงแค่สองหรือสามตอนเท่านั้น
โยบ 42:6
ประการแรก การกลับใจใหม่ทำให้คนรู้สึกเกลียดตนเอง ในพระธรรมโยบ 42:6 โยบกล่าวว่า “ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า” โยบประสบความทุกข์แสนสาหัสในชีวิต เขาสรุปสาเหตุความทุกข์เอาเองว่า เป็นความไม่ยุติธรรมของพระเจ้า แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้เรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเกิดขึ้นกับตัวเขา และในบัดดลนั้นเองพระเจ้าทรงปรากฏพระองค์แก่เขา ทรงเริ่มต้นพูดคุยและตั้งคำถามเรื่องเกี่ยวกับชีวิตอย่างง่าย ๆ ให้เขาตอบ โยบไม่สามารถหาคำตอบให้พระองค์ได้ ในเวลานั้นเองที่เขาสำนึกได้ว่าเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้านั้น แม้แต่เรื่องง่ายแสนง่ายเขาก็ยังไม่อาจหาถ้อยคำมาตอบพระองค์ได้ ถ้าเช่นนั้นจะนับประสาอะไรกับเรื่องยุ่งยากซับซ้อนอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาเล่า สำนึกได้อย่างนั้นแล้วโยบจึงคุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระเจ้าและกลับใจลงในผงคลีและขี้เถ้า
เห็นได้ว่าเมื่อใครสักคนหนึ่งกลับใจ เขาเกิดความสำนึกว่าตนเองทำผิดบาปต่อพระเจ้าผู้ทรงความบริสุทธิ์ เขาเห็นว่าตนเองเป็นคนชั่วและเกลียดชังตนเอง ข้าไม่ชอบทุกสิ่งที่ข้าเป็นอยู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงปิดซ่อนมันไว้ พยายามทำเหมือนว่าข้าไม่ได้ทำอะไรผิดบาปไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้าทำให้มองเห็นตัวตนชัดเจน ทำให้เห็นว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร และทนไม่ได้ที่ตัวเองเป็นอย่างนั้น ยิ่งมองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้าข้ายิ่งมองเห็นความบาปของตัวเอง ข้าเกลียดตัวเองที่เป็นอย่างนั้น ทนสภาพอย่างนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าเกลียดตัวเอง สิ่งที่โยบต้องการจะบอกเราคงจะเป็นอะไรทำนองนี้
2 โครินธ์ 7:9-10
ประการที่สอง การกลับใจใหม่ทำให้เกิดความรู้สึกเสียใจอย่างลึกซึ้งต่อบาป ความเสียใจอย่างลึกซึ้งคือความเสียใจที่สุดของคนที่ตระหนักว่าตนเองทำผิดบาปต่อพระเจ้า พระธรรม 2 โครินธ์ 7:9-10 กล่าวว่า “บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี มิใช่เพราะท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจใหม่ เพราะว่าท่านได้รับความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้ผลร้ายจากเราเลย เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้าย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย”
เวลานั้นสมาชิกบางคนในคริสตจักรโครินธ์ดำเนินชีวิตในทางของคนบาป แต่แทนที่สมาชิกคนอื่น ๆจะจัดการให้ถูกต้อง พวกเขากลับช่วยกันกลบเกลื่อนเรื่องเหล่านั้น เปาโลจึงเขียนจดหมายตักเตือนพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา บอกให้รู้ว่าพวกเขากำลังทำผิดและการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดบาปต่อพระเจ้า จดหมายของเปาโลเตือนสติพวกเขาให้ได้สำนึก ผิด เสียใจต่อบาปและพยายามแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นให้ถูกต้อง พระธรรมตอนนี้เป็นข้อความในจดหมายอีกฉบับหนึ่งที่เปาโลเขียนให้พวกเขารู้ว่าท่านมีความสุขมากแค่ไหนที่ทราบว่าพวกเขามีความรู้สึกเสียใจอย่างที่พระเจ้าทรงพอพระทัยแทนที่จะเสียใจอย่างโลก
ความเสียใจอย่างโลกคือ การที่ใครคนหนึ่งวิ่งไปที่แท่นบูชากราบทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์อยากได้ความรอด อยากเป็นคริสเตียน” แล้วก็ทำตัวดีไปสักพักหนึ่ง แล้วจุ่ ๆ วันหนึ่งก็ตื่นขึ้นมาบอกว่า “รุ้ไหม ฉันว่าฉันจะไมไปโบสถ์อีกแล้วนะ ยิ่งไปก็ยิ่งมีแต่จะรู้สึกว่าตัวเองแย่ พวกที่โบสถ์ชอบบอกให้ฉันทำอะไร ๆ ตามพระคัมภีร์ ฉันว่าฉันไม่ชอบทำอะไรอย่างนั้นนะ ใจจริงของฉันคงไม่อยากเป็นคริสเตียนแน่ ๆ” อย่างนี้แหละที่เรียกว่าเสียใจอย่างโลก เสียใจแบบที่วันหนึ่งพูดว่า “ฉันจะเป็นคริสเตียน” แล้วพอรุ่งขึ้นอีกวันก็เปลี่ยนใจหันหลังให้พระคริสต์ นี่เป็นความเสียใจแบบโลกไม่ใช่การกลับใจใหม่ตามพระคัมภีร์แน่นอน
การกลับใจใหม่ตามพระคัมภีร์เป็นความเสียใจที่พระเจ้าพอพระทัย และความเสียใจอย่างที่พระเจ้าพอพระทัยนี้คือความเสียใจที่นำคนไปถึงจุดที่เขาสำนึกอย่างแท้จริงว่า “ ฉันทำผิดบาปต่อพระเจ้า ขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษด้วย ” ไม่ใช่เพียงแค่สำนึกเพราะถูกจับได้ว่าทำผิด และไม่ใช่แบบที่เห็นคนอื่นเสียใจแล้วเกิดอารมณ์ร่วมคล้อยตาม
ความเสียใจแบบที่พระเจ้าพอพระทัยนี้เกิดขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งรู้สึกเสียใจด้วยความจริงใจในความผิดที่ตนเองทำต่อพระองค์ ความเสียใจอย่างนี้ทำให้คนหันหลังให้กับชีวิตแบบเดิมของตน และปรารถนาจะเดินออกจากจุดนั้นเข้าไปในทางของพระคริสต์ และไม่ว่าเหตุการณ์รอบตัวจะเป็นอย่างไรเขาก็จะมอบตนเองไว้กับพระองค์และรู้ว่าเขาเป็นของพระองค์ จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พระองค์พอพระทัย และคงจะเป็นเรื่องเศร้าถ้าคนไม่ยอมหันหลังให้กับชีวิตเดิมของตน
1 เธสะโลนิกา 1:9-10
ประการที่สาม การกลับใจใหม่ทำให้คนละทิ้งรูปเคารพ พระธรรม 1 เธสะโลนิกาข้อนี้บอกเราว่า “เพราะคนเหล่านั้นก็ได้รายงานเกี่ยวกับเราว่า ที่เราได้เข้ามาหาท่านทั้งหลายนั้นเป็นอย่างไร และกล่าวถึงการที่ท่านได้ละทิ้งรูปเคารพและหันมาหาพระเจ้าเพื่อรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่และเที่ยงแท้ และรอคอยพระบุตรของพระองค์จากสวรรค์ซึ่งพระองค์ทรงให้เป็นขึ้นมาจากความตาย คือพระเยซูผู้ทรงช่วยให้เราพ้นจากพระอาชญาที่จะมีมาภายหน้านั้น” การกลับใจใหม่ที่พระเจ้าพอพระทัยนั้นทำให้เราหันหลังให้รูปเคารพทั้งหลาย
มีคนไม่น้อยคิดว่ารูปเคารพหมายถึงรูปที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ และเป็นสิ่งที่คนกราบไหว้เท่านั้น ความจริงรูปเคารพอาจหมายถึงอะไรก็ได้ในบ้านที่เรารักใคร่ให้คุณค่าให้ความสำคัญมากกว่าองค์พระเยซู
คริสตเจ้า อาจเป็นโทรทัศน์ เกมส์คอมพิวเตอร์ ของสะสม เครื่องกีฬา โทรศัพท์มือถือ หรือใครสักคนที่คุณรักเขามากกว่าพระคริสต์ รักจนยอมให้เขาเป็นเหมือนรูปเคารพในชีวิตคุณ
สิ่งเล่านี้คือสิ่งที่คุณไม่อยากสูญเสีย เพราะเป็นที่รักของคุณ เป็นสิ่งที่คุณรักมากกว่าพระคริสต์ ยังจำพระบัญญัติข้อแรกที่พระเจ้าตรัสว่า “ อย่ามีพระอื่นใดนอกเหนือจากเรา “ ได้ใช่ไหม ถ้าเรารักอะไรมากกว่าพระเจ้าก็เท่ากับว่าสิ่งนั้นเป็นรูปเคารพที่เรากำลังนมัสการอยู่
เมื่อใครคนหนึ่งกลับใจใหม่อย่างแท้จริง เขาต้องเต็มใจหันหลังให้กับสิ่งที่เขาเคยรักแล้วหันไปหาองค์พระเยซูคริสตเจ้าแทน คนกลับใจอย่างที่พระเจ้าพอพระทัยคือคนที่ยอมเลิกผูกพันกับสิ่งที่เขาเห็นว่าขัดขวางความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้าผู้เป็นองค์พระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีอะไรมีคุณค่าเทียบได้กับพระองค์ และทั้งหมดนี้คือท่าทีความรู้สึกที่คนกลับใจใหม่จะต้องมี
มัทธิว 3:8
ประการที่สี่ การกลับใจใหม่เมื่อเกิดขึ้นในชีวิตใคร ชีวิตคนนั้นต้องเปลี่ยนแปลง ให้เราดู มัทธิว 3:8 ด้วยกัน ในพระธรรมตอนนี้ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมากำลังเทศนาสั่งสอนอยู่ มีคนบางพวกมาขอรับบัพติศมาจากยอห์นแต่ยอห์นปฏิเสธ และบอกว่า “เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น” คำถามคือ ผลที่เกิดจากการกลับใจนั้นคืออะไร คำตอบที่ยอห์นกำลังพูดถึงคือผลที่ปรากฏให้เห็นได้จากภายนอก เป็นสิ่งที่ผู้คนมองเห็นได้ และเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายนอกซึ่งเป็นพยานให้คนอื่นเห็นได้ชัดเจนว่าชีวิตของผู้ที่กลับใจใหม่นั้นเปลี่ยนแปลงไปเพราะกลับใจใหม่อย่างแท้จริงแล้ว
ดังนั้นเมื่อคนหนึ่งกลับใจใหม่ เราจะเห็นว่าการดำเนินชีวิตของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม การพูดจาของเขาจะเปลี่ยนไป ความประพฤติของเขา ท่าทีความรู้สึกที่แสดงออกมาจะต่างไปจากเดิม ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงและมีสิ่งที่มองเห็นได้เป็นประจักษ์พยาน ส่วนคนที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงก็คือคนที่ยังไม่กลับใจใหม่ นอกจากนี้ถ้าไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดก็แสดงว่ายังไม่มีการกลับใจใหม่แท้จริงด้วย พระเจ้าตรัสเรื่องนี้ไว้ชัดที่สุดแล้ว
ลูกา 19: 1-10
ประการที่ห้า เมื่อคนหนึ่งกลับใจใหม่เห็นว่าสิ่งที่ตนกำลังทำนั้นผิด และมีใจอยากทำให้ถูกต้อง ท่าทีอย่างนี้เป็นพยานว่าคนคนนั้นกลับใจใหม่แล้ว พระธรรมลูกา 19:1-10 เป็นเรื่องของคนชื่อ ศักเคียสซึ่งกลับใจใหม่ พระเจ้าทรงรู้ว่าเขากลับใจใหม่จากตรงไหน ตรงคำพูดของเขาที่ทูลพระองค์ว่า “ ดูเถิดพระองค์เจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถาครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์ยอมคืนให้เขาสี่เท่า ”
ศักเคียสไม่เพียงแต่พูด “ขอโทษ” คนที่เขาเคยฉ้อโกง แต่ยอมคืนเงินให้สี่เท่าของจำนวนที่โกงไว้ ลองคิดดูสิว่ามันมากแค่ไหน ปัญหาอย่างหนึ่งของพวกเราก็คือ เราบอกว่าเราเป็นคริสเตียนกันง่ายเกินไป เรามักจะคิดว่า “แค่พูดว่าเสียใจหรือขอโทษ แค่นี้เรื่องนี้ก็เรียบร้อยแล้ว” แต่สำหรับคนที่ได้รับความรอดอย่างแท้จริงนั้นพวกเขาต้องอยากทำให้ทุกอย่างถูกต้องจริง ๆ หัวใจของเขาต้องร่ำร้องอยากชดใช้สิ่งผิดพลาดต่าง ๆ ที่ผ่านมาด้วย
2 ทิโมธี 2:25-26
ประการที่หก การกลับใจใหม่ทำให้คนยอมรับความจริง พระธรรม 2 ทิโมธี 22:25-26 กล่าวว่า “ด้วยความอ่อนสุภาพจงสอนคนเหล่านั้นที่ต่อสู้กับตัวเอง ถ้าพระเจ้าอาจจะทรงโปรดให้เขากลับใจเสียใหม่มารับความจริง และเขาอาจหลุดพ้นบ่วงของพญามารผู้ซึ่งดักจับเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน”
น่าสังเกตว่าคนทั้งหลายทั้งชายและหญิงที่ยังไม่รับพระผู้ช่วยให้รอดมักจะเป็นคนที่ยึดติดอยู่กับตัวเอง พวกเขาจะมีความคิด ความเห็นเป็นของตัวเองรวมทั้งเชื่อมั่นในความคิดเห็นของตน แต่เมื่อใครก็ตามได้รับความรอดแล้วเขาจะไม่วางใจความรู้สึกนึกคิดของตัวเองอีกต่อไป ฉันคิดเป็นทำเป็นแต่ฉันไม่ไว้ใจความคิดความรู้สึกของตัวเอง เว้นไว้แต่ว่าสิ่งที่คิดนั้นตรงตามที่พระคัมภีร์บอก
แต่ฉันก็ไม่ใช่คนประเภทฉวยเอาพระวจนะของพระเจ้ามาใช้เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ฉันคิดนั้นถูกต้อง หรือเพื่อปกปิดความจริงอะไรบางอย่าง หรือเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการจากพระเจ้า ฉันเรียนรู้พระคัมภีร์เพื่อจะได้รู้ว่าพระเจ้าทรงต้องการอะไรและพระองค์ตรัสไว้ว่าอย่างไรบ้าง แล้วฉันก็จะได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติและความคิดเห็นของตัวเองให้เป็นไปตามพระวจนะนั้น
การกลับใจใหม่ทำให้คนหันมารับความจริง ทำให้คนยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง รับว่าตัวเองยังขาดความเข้าใจในฝ่ายจิตวิญญาณ และยอมรับความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า เมื่อเกิดการกลับใจใหม่เชื่อได้เลยว่าคนที่กลับใจใหม่นั้นมักจะศีรษะลงต่อพระพักตร์พระเจ้าและทูลว่า “ ทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสล้วนเป็นความจริง และอะไรก็ตามที่ข้าพระองค์รู้สึกว่ามันขัดกับพระวจนะของพระองค์ล้วนผิดพลาดไม่ถูกต้องทั้งนั้น “ และถ้าหากว่าจะมีใครสักคนหนึ่งโต้แย้งกับพระเจ้า เชื่อได้เลยว่าเขาไม่รู้จักพระองค์ เพราะการกลับใจใหม่ต้องทำให้คนหันมารับความจริง
เขาจะเป็นคนชอบธรรมต่อพระเจ้าได้อย่างไร เขาต้องเข้าถึงจุดที่ตัวเขายอมรับความจริงของพระวจนะก่อน เขาต้องตระหนักว่าตัวเขาเต็มไปด้วยบาปอย่างที่พระเจ้าทรงมองเห็น และต้องรู้ด้วยว่าคนที่มีสภาพอย่างเขานั้นสมควรจะตกนรกเพราะความผิดบาปที่ทำต่อพระเจ้า
วงการศาสนาในยุคนี้อาจจะหัวเราะเยาะเมื่อพูดถึงความจริงเรื่องนี้ แต่คนที่ไม่หันมารับความจริงข้อนี้ก็ยังไม่กลับใจใหม่ และถ้ายังไม่กลับใจใหม่ก็เท่ากับว่ายังไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า วันนี้ คุณจะไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่วันหนึ่งคุณจะต้องยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าและวันนั้นปากของคุณก็จะถูกปิดลง พระเจ้าไม่ทรงตัดสินอะไรจากภายนอก แต่ทรงพิพากษาตัดสินตามความจริงและสิ่งที่อยู่ภายในใจ ทรงมองดูคุณจากภายในออกไปภายนอก
ถ้าอย่างนั้นการกลับใจใหม่ที่แท้จริงจะต้องประกอบด้วยหกประการต่อไปนี้ ประการแรก อยู่ในพระธรรมโยบที่ว่า การกลับใจใหม่คือความเสียใจอย่างลึกซึ้งต่อบาป ไม่ใช่แค่พูดอะไรทำนองนี้ว่า “แหม ฉันไม่น่าทำอย่างนั้นเลย” แทนที่จะพูดว่า “ฉันทำผิดต่อพระเจ้า นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย”
ประการที่สอง อยู่ในพระธรรม 1 โครินธ์ ที่เราเห็นกันแล้วว่าการกลับใจใหม่คือความเสียใจที่ไม่ทำให้คนที่เสียใจรู้สึกเสียใจ เขาไม่ต้องพูดว่า “ ฉันมันโง่ ที่ไปหลงร้องห่มร้องไห้เสียน้ำตา ” ไม่หร็อก ไม่ว่าคุณจะเสียใจแค่ไหนก็ไม่มีทางสาสมกับความผิดที่ทำต่อพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพได้เลย ดังนั้นการกลับใจใหม่ก็คือความเสียใจที่คุณจะไม่เสียใจที่คุณได้ทำลงไป
ประการที่สาม การกลับใจใหม่ทำให้คนหันหลังให้กับรูปเคารพต่าง ๆ รวมถึงอะไรต่ออะไรที่คุณรักมากกว่าพระเจ้า
ประการที่สี่ การกลับใจใหม่เมื่อเกิดขึ้นในชีวิตของใคร ก็จะทำให้ชีวิตของคนนั้นเปลี่ยนแปลงไป และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นเองจะเป็นพยานถึงการกลับใจใหม่
ประการที่ห้า การกลับใจใหม่จะเป็นพยานว่าเกิดการกลับใจใหม่ขึ้นจริง ๆ เมื่อคนคนนั้นปรารถนาจะแก้ไขสิ่งผิดให้ถูกต้อง
ประการที่หก การกลับใจใหม่เป็นเหตุให้คนหันมารับความจริง และทั้งหมดนี้คือสิ่งเกิดขึ้นร่วมกันเมื่อมีการกลับใจใหม่
ความเชื่อ
องค์ประกอบของความรอดประการที่สองตามที่พระเยซูตรัสไว้คือ ความเชื่อ การกลับใจใหม่และความเชื่อต้องอยู่คู่กัน แต่ความเชื่อที่ว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรานั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้จนกว่าเราจะกลับใจเสียก่อน ตอนนี้เราจะมาดูกันที่พระธรรมยากอบ 2:14-24 ว่าพระเจ้าตรัสเรื่องความเชื่อนี้ไว้ว่าอย่างไร จากบทเรียนต่อไปนี้เราจะเห็นว่ามีความเชื่ออยู่สามแบบ แต่มีเพียงแบบเดียวเท่านั้นที่เป็นความเชื่อแท้
ความเชื่อตาย (ปลอม)
ในยากอบ 2:14 กล่าวว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ประพฤติตาม จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ” ลองพิจารณาคำถามของยากอบในข้อนี้ดู ถ้าคนคนหนึ่งพูดว่า ตนเองเชื่อพระเยซู แต่ชีวิตของเขาไม่เปลี่ยนไปจากเดิม หรือไม่ได้ทำอะไรสักอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคริสเตียน ความเชื่อที่มีนั้นจะช่วยเขาให้รอดได้หรือเปล่า
คนอย่างนี้มีความเชื่อแต่ขาดการประพฤติหรือการกระทำที่ต้องมีควบคู่กับความเชื่อ พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า พวกเขาไม่สนใจเรื่องการไปโบสถ์ การอ่านพระวจนะของพระเจ้า หรือการติดตามพระองค์ ทั้งที่รู้แล้วว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขายังคงดำเนินชีวิตอย่างที่เขาเป็น แต่ปากก็บอกว่าเขาเชื่อ คำถามตรงนี้คือ ความเชื่อของเขาจะช่วยเขาให้รอดได้หรือไม่
ยากอบ 2:15-16 “ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดเปลือยเปล่าและขากแคลนอาหารประจำวัน และมีคนใดในพวกท่านกล่าวแก่เขาว่า ‘เชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด’ และไม่ได้ให้สิ่งซึ่งจำเป็นต่อร่างกายแก่เขา จะเป็นประโยชน์อะไรเล่า”
ยากอบตอบคำถามด้วยการยกตัวอย่างทำนองนี้คือ สมมุติว่าคนรู้จักแถวบ้านเรามาเคาะประตูบ้านขอความช่วยเหลือเพราะลูกเต้ากำลังอดอยากผอมโซ ไม่มีอะไรกิน ฝนตกหนาวสั่นอยู่หน้าประตู ทั้งเปียกทั้งหิว กำลังจะอดตายกันทั้งครอบครัว เราจะทำอย่างไร มองดูพวกเขาแล้วยิ้มหวานให้ พร้อมกับพูดว่า “พระเจ้าอวยพรนะแล้วจะอธิษฐานเผื่อ” ว่าแล้วก็ปิดประตูบ้าน อย่างนั้นหรือ พวกเขาจะอบอุ่นขึ้นหรือเปล่า จะหายหิว สบายเนื้อสบายตัวขึ้นบ้างไหม ไม่เลย คำพูดของคุณไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ประเด็นที่ยากอบพยายามจะชี้ให้เห็นตรงนี้คือ ถ้าใครสักคนบอกว่า “ฉันเชื่อพระเยซู” แต่ชีวิตของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย คนคนนั้นเชื่อจริงหรือเปล่า แล้วความเชื่ออย่างนั้นของเขาจะช่วยให้เขารอดได้ไหม
ยากอบ 2:17 “ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าปราศจากการประพฤติ ก็ตายโดยลำพังแล้ว” หมายความว่า ถ้าใครคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเชื่อ” แต่ความประพฤติไม่เปลี่ยนแปลงไปด้วย หรือยังคงปล่อยให้ชีวิตเหมือนเดิม ก็หมายความว่าเขามีความเชื่อปลอมหรือตาย มีแต่ความเชื่ออย่างเดียว เป็นความเชื่อตายเพราะไม่เกิดผล
ยากอบ 2:18 “แต่คงมีผู้ค้านว่า’ท่านมีความเชื่อ และข้าพเจ้ามีการประพฤติ’ จงแสดงความเชื่อของท่านที่ปราศจากการประพฤติให้ข้าพเจ้าเห็น และข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้าโดยการประพฤติของข้าพเจ้า” คุณอยากให้คนอื่นเชื่อว่าคุณเชื่อพระเยซู หรือเปล่า ถ้าอยากคุณต้องให้ความประพฤติของคุณเป็นพยานว่าคุณมีความเชื่อที่แท้จริง
ถ้าชีวิตของคนคนหนึ่งที่เชื่อพระเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง ก็ไม่มีอะไรจะเป็นเหตุผลให้วางใจว่าเขาเชื่อพระเจ้า เราจึงตั้งข้อสงสัยได้เลยว่า เขาเชื่อแท้จริงหรือเปล่า เหมือนอย่างที่ยอห์นปฏิเสธและไม่ยอมให้พวกฟาริสีรับบัพติสมา พร้อมทั้งบอกให้พวกเขาพิสูจน์การกลับใจด้วยผลที่เกิดขึ้น ยอห์นอยากเห็นชีวิตที่เปลี่ยนแปลงก่อนที่จะทำบัพติสมาให้
ความเชื่ออย่างปีศาจ
ยากอบ 2:19 “ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อเช่นกัน และกลัวจนตัวสั่น” ที่ผ่านมาเราเรียนรู้ เรื่องความเชื่อปลอมหรือความเขื่ออย่างที่ตายแล้ว ว่าเป็นความเชื่อของคนที่พูดว่าเขาเชื่อ แต่ชีวิตไม่เปลี่ยนแปลง ความเชื่อแบบต่อไปนี้คือความเชื่อแบบปีศาจ
มีคนไม่น้อยที่เชื่อแบบนี้ เป็นความเชื่อแบบพวกผีปีศาจเชื่อ พวกผีปีศาจรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าโดยไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย พวกมันรู้ว่าเรื่องนี้เป็นจริงที่สุด มันเห็นพระเยซูแล้วมันก็กลัวจนตัวสั่น เพราะพวกมันรู้ว่าวันหนึ่งมันจะต้องไปหมอบอยู๋หน้าพระที่นั่งของพระ
องค์และจะถูกพระองค์พิพากษาให้ตกนรกชั่วนิรันดร์
คนบางพวกเชื่อว่า พระคัมภีร์เป็นความจริง ไม่ได้เชื่อแบบ ครึ่งๆกลางๆ พวกเขารู้ถึงความจริงในเรื่องนี้ เวลาฟังเทศนาพระคำของพระเจ้า พวกเขาก็กลัวจนตัวสั่นเหมือนกัน เมื่อรู้ว่าวันหนึ่งจะต้องไปยืนเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และรู้ว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะรับการพิพากษา พวกเขารู้ว่าในวันนั้นจะต้องทูลพระเจ้าว่าที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง แต่พวกเขายังไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม ไม่รู้ว่าจะตอบพระองค์ว่าอย่างไรดี ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี คนเหล่านี้รู้ว่าเรื่องเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นจริง รู้สึกไม่สบายใจแต่ที่เขาทำคือเดินหนีไปเฉย ๆ หันหลังให้สิ่งที่ตนรู้ แล้วถามตัวเองว่า “เลิกไปโบสถ์สักพักก่อนดีกว่า ได้ยินพระคัมภีร์สอนว่าอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีเลย รู้แล้วน่าว่าวันหนึ่งต้องถูกพิพากษา แต่จะไปคิดถึงมันให้เซ็งทำไม”
เรื่องอย่างนี้ก็เหมือนกับเรื่องความตายที่คนส่วนมากคิดกัน คนส่วนมากไม่ชอบพูดหรือคิดถึงเรื่องตาย ไม่มีใครอยากพูดกับคนเสนอขายโลงศพเพราะไม่อยากคิดถึงอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ ทั้ง ๆที่ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ใครก็หนีไม่พ้น แต่คนส่วนมากก็ยังพยายามลืมไม่คิด ไม่พูดถึงทำเหมือนไม่รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น
ยากอบ 2:20 “โอ คนไร้ค่า ท่านอยากจะรู้หรือว่า ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้ว” ไม่ว่าคุณจะมีความเชื่อแบบความเชื่อตาย หรือแบบปีศาจมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตัวคุณเลย เพราะความเชื่อที่ไม่ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงเป็นความเชื่อที่ไม่มีคุณค่าอะไรเลย
ความเชื่อที่เป็นพลัง
ความเชื่อแบบที่สามเป็นความเชื่อที่เป็นพลัง เมื่อเชื่อแล้วจะอยู่เฉยไม่ได้ เราเห็นความเชื่อแบบนี้ชัดเจนในชีวิตของอับราฮัม พระธรรมยากอบ2:21-24 บอกเราว่า “เมื่ออับราฮัมบิดาของเราได้ถวายอิศอัคบุตรชายของท่านบนแท่นบูชา จึงได้ความชอบธรรมโดยการประพฤติมิใช่หรือ ท่านทั้งหลายคงเห็นแล้วว่าความเชื่อได้กระทำกิจร่วมกับการประพฤติของท่าน และความเชื่อก็สมบูรณ์ได้โดยการประพฤติ และพระคัมภีร์ก็สำเร็จที่ว่า ‘อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้าและพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’ และท่านได้ชื่อว่าเป็น ‘สหายของพระเจ้า’ ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ก็เนื่องด้วยการประพฤติ และมิใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว” ทีนี้เราจะมาดูสิ่งที่ยากอบพูดกับเรานี้ในพระธรรมปฐมกาล 12 ด้วยกัน จากพระธรรมปฐมกาลเราเห็นว่าพระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมให้ออกเดิน
ทางจากแผ่นดินของตนไปยังดินแดนแห่งหนึ่ง และทรงสัญญาด้วยว่าเขาจะมีผู้สืบเชื้อสายมากกว่าเม็ดทรายในทะเล อับราฮัมเชื่อฟังพระองค์ หลายปีต่อมาพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมอีกครั้งหนึ่งในปฐมกาลบทที่ 15 ครั้งนี้ทรงสัญญาว่าเขาจะมีลูกซึ่งตอนนั้นเขายังไม่มีเลย อย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงสัญญากับเขาอีกครั้งหนึ่งว่าเขาจะมีลูกหลานมากมาย และเหนือสิ่งอื่นใดองค์พระผู้ช่วยให้รอดหรือพระเมสิยาห์ ผู้ซึ่งจะทรงตายเพื่อบาปชั่วของโลกนี้จะเกิดมาในพงศ์พันธุ์ของเขา และโดยพระองค์นี้เองอับราฮัมจะเป็นพรต่อทุกครัวเรือนในโลก เหตุการณ์ในบทที่ 15 นี้เกิดขึ้นหลังจากบทที่ 12 ประมาณ 13 ปี
พระธรรมปฐมกาล 15:6 กล่าวว่า “ท่านเชื่อในพระเยโฮวาห์และพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน” คำว่า นับว่า เป็นภาษาที่ใช้ในด้านการบัญชี ซึ่งเราเคยเห็นแล้วในพระธรรมยากอบ และโรม ในการทำบัญชี นักบัญชีจะใส่จำนวนเงินที่เป็นหนี้ลงในช่องรายจ่าย ซึ่งเป็นด้านลบหรือด้านที่ต้องชดใช้ ส่วนสิ่งที่เป็นรายได้นั้นก็จะลงไว้ในด้านรายรับ และท้ายที่สุดก็จะนำยอดเงินแต่ละด้านมาหักกลบลบหนี้กันเพื่อหาส่วนต่าง
ตารางบัญชีหนี้สินฝ่ายจิตวิญญาณของเรานั้น ดูให้ดีจะเห็นว่ามันติดลบอยู่ เมื่อเราไปอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า พระองค์จะทรงนับสิ่งที่ทรงเห็นว่าเป็นความชอบธรรมใส่เพิ่มลงในบัญชีด้านรายรับ ทำให้ยอดรวมบัญชีของเราไม่ติดลบ ไม่มีหนี้สินใด ๆ ค้างอยู่ อับราฮัมก็เช่นเดียวกัน เขาเชื่อฟังและวางใจในพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์ พระเจ้าจึงทรงนับว่าสิ่งนี้เป็นความชอบธรรมให้แก่เขา
อะไรคือสิ่งที่อับราฮัมทำและพระเจ้าทรงนับว่าเป็นความชอบ-ธรรม อะไรทำให้เขาได้เป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะอะไรพระเจ้าจึงทรงยกโทษความผิดบาปของเขา เขามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้อย่างไร คำตอบคือ อับราฮัมเพียงแต่เชื่อพระเจ้าเท่า นั้น เขาเป็นคนชอบธรรมได้ไม่ใช่เพราะการเข้าสุหนัต ไม่ใช่เพราะเขาเปลี่ยนแปลงชีวิต แต่เพราะเขาเชื่อฟังพระเจ้าตามที่พระวจนะซึ่งเป็นความจริงบอกไว้ เขาจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่วันที่เขาเชื่อจนถึงวันตาย
41ปีต่อมานับแต่วันที่พระเจ้าทรงนับว่าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรม ในปฐมกาล 22 พระเจ้าทรงบอกให้อับราฮัมพาอิสอัคไปถวายเป็นเครื่องบูชาที่ภูเขาโมริยาห์ ดังที่เราอ่านผ่านมาในบทเรียนชุดก่อน เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงปรารถนาจะฆ่าอิสอัค แต่ทรงทำอย่างนั้นเพื่อทดลองความเชื่อของอัราฮัมว่าเขารักพระองค์จริงหรือไม่ อับราฮัมเชื่อฟังและทำตามที่พระเจ้าตรัสสั่ง เขายอมแม้กระทั่งพาลูกชายคนเดียวของตนไปถวายเป็นเครื่องบูชา เขายอมเพราะนั่นเป็นคำสั่งของพระเจ้า ทำไมถึงยอมขนาดนั้นหรือครับ เพราะเขาไว้ใจเและวางใจสิ่งที่พระเจ้าตรัสน่ะสิครับ พระเจ้าตรัสสั่งให้อับราฮัมใช้ลูกเป็นเครื่องบูชาเขาก็ทำตามด้วยความเต็มใจ เมื่อพระเจ้าทรงเห็นแล้วว่าอับราฮัมเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ พระองค์จึงตรัสห้ามเขาไว้ เห็นได้ชัดเจนว่าพระองค์ไม่ได้ปรารถนาจะให้อิสอัคตายแต่ทรงต้องการทดสอบ
ความเชื่อของอับราฮัม
เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ถูกต้อง การเชื่อฟังพระเจ้าหมายความว่าเชื่อและวางใจสิ่งที่พระเจ้าตรัส ต้องพึ่งพระวจนะ แทนที่จะพึ่งความรอบรู้ ความเข้าใจ หรือเหตุผลที่ตนเอง คิดขึ้น
พระเจ้าตรัสว่าทางรอดมีทางเดียวคือ พึ่งสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงทำบนกางเขนที่กลโกธา ทางนี้เป็นทางเดียวที่บาปของเราจะได้รับการชำระจนหมดสิ้น คนบางคนยอมรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เพราะฟังดูไม่น่าเชื่อสำหรับเขา แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณเชื่อพระเจ้าชีวิตคุณก็จะเปลี่ยนแปลงไปนับแต่วันนั้น ตลอดเวลาสี่สิบเอ็ดปีนับแต่วันที่อับราฮัมเชื่อพระเจ้า เขาได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นคงที่มีต่อพระองค์ ถ้าคุณเชื่อมั่นต่อสิ่งใดด้วยความจริงใจ คุณเองก็จะทำตามความเชื่อนั้นอย่างอับราฮัมเหมือนกัน
อย่างเช่นความเชื่อเรื่องกฎของแรงโน้มถ่วงที่เราเชื่อกันมาตั้ง
แต่เด็ก เราเชื่อกันว่าอะไรที่อยู่สูงต้องตกลงมาสู่พื้น ไม่ใช่ลอยขึ้นข้างบน เราเชื่อเรื่องนี้โดยไม่มีข้อสงสัยเลยใช่ไหมครับ ความเชื่ออย่างนี้อยู่ในสมองในใจของเราตลอดเวลาจนเป็นจิตใต้สำนึก เราทำอะไร ๆหลายอย่างโดยมีความเชื่อเรื่องนี้เป็นพื้นฐานโดยไม่รู้ตัว เช่นเราจะไม่วางจานชามสวย ๆ ไว้หมิ่นเหม่เรา เพราะกลัวจะตกลงมาแตกใช่ไหมครับ เราดำเนินชีวิตอย่างที่รู้ว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎนี้แน่ ๆ
แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อในพระคริสต์อย่างไรหรือ นับแต่วันที่เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงตายบนกางเขนที่กลโกธาเพื่อเรา ชีวิตที่หเลืออยู่ของเราต่อจากนั้นก็จะดำเนินไปบนพื้นฐานความเชื่อนี้ เราจะดำเนินชีวิตตามความจริงประการนี้ เราจะให้ความสำคัญกับความจริงที่ว่าพระองค์ทรงตายแทนเรา การดำเนินชีวิตของเราต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรเราจะทำโดยยึดความจริงข้อนี้เป็นพื้นฐาน ท่าทีความคิดของเราจะเป็นไปในทำนองที่ว่า “พระเจ้า พระองค์ทรงยอมตายเพื่อข้าพระองค์ ทรงไถ่ชำระข้าพระองค์จากบาปทั้งปวง ข้าพระองค์เป็นของพระองค์ มีอะไรที่ข้าพระองค์จะทำเพื่อพระองค์ได้บ้างพระเจ้าข้า”
ต่อแต่นี้ไปคุณจะมอบการตัดสินใจทุกอย่างในชีวิตของคุณให้อยู่ในดุลยพินิจหรือพระราชวินิจฉัยของพระองค์ ผู้ทรงรักคุณมากเหลือเกิน มากจนถึงขนาดที่ทรงยอมสิ้นพระชนม์เพื่อความผิดบาปของคุณ ทรงกลายเป็นเจ้าของชีวิตคุณ เป็นเจ้านายของคุณ ทรงเป็นผู้กำหนดแต่ละเท้าก้าวเดินของคุณ ทรงบอกให้คุณรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ให้รู้ดีรู้ชั่ว ทรงเป็นจอมเจ้านายของคุณ นี่แหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตคุณเมื่อคุณเชื่อ
คนอาจพูดได้ง่าย ๆ ว่า “ฉันเชื่อพระเยซูแล้ว” แต่ชีวิตของเขาต่างหากที่จะพิสูจน์ว่าเขาเชื่อแบบ ความเชื่อตาย แบบปีศาจหรือแบบที่เป็นพลัง คนที่เชื่อแบบความเชื่อตายหรือแบบปีศาจนั้น ชีวิตของเขาจะดำเนินไปแบบเห็นแต่ตัวเองเป็นใหญ่ เขามักจะทำอะไรตามใจชอบของตัวเอง ตัดสินใจตามอำเภอใจ ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และไม่สนใจว่าพระเจ้าตรัสว่าอย่างไร
คนอย่างนี้ชีวิตของเขาไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง แค่เห็นชีวิตของเขาก็รู้ได้เลยว่าไม่ได้เชื่อจริง ปากของเขาพูดว่าเชื่อแต่เราบอกได้ว่าเชื่อไม่จริงเพราะชีวิตยังเหมือนเดิม คนที่เชื่อจริงจะต้องทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม เราสามารถเห็นถึงความเชื่อจากการดำเนินชีวิตของเขาได้
โรม 4:1-5
“ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอับราฮัมบรรพบุรุษของเราได้ประโยชน์อะไรตามเนื้อหนังเล่า เพราะถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่มิใช่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ด้วยว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า ‘ อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน ‘ ดังนั้นคนที่อาศัยการประพฤติก็ไม่ถือว่าบำเหน็จที่ได้นั้น เป็นเพราะพระคุณ แต่ถือว่าบำเหน็จนั้นเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ ส่วนคนที่มิได้อาศัยการประพฤติแต่ได้เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงโปรดให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ ความเชื่อของคนนั้นต้องนับว่า เป็นความชอบธรรม”
ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้สอนแบบง่าย ๆ ว่า เรารอดได้ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการประพฤติ ถ้าเราไปสวรรค์ได้ด้วยการรับบัพติศมา การไปโบสถ์ การบริจาค การอธิษฐาน การเป็นคนดี ฯลฯ เมื่อไปถึงสวรรค์เราคงเที่ยวเดินโอ้อวดไปมาว่าเราทำอะไรบ้างถึงเข้าสวรรค์ได้ แต่พระเจ้าตรัสว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หนทางนำเราไปถึงสวรรค์ เพราะเราไม่มีทางที่จะช่วยตัวเองให้รอดได้ สิ่งดีทั้งหลายที่เราทำ ที่เราประพฤติไม่อาจช่วยเราให้ไปสวรรค์ได้ แม้แค่เฉียดสวรรค์ก็ยังไม่มีทาง ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจะอวดอ้างอะไรได้เลย
ถ้าอย่างนั้นเราจะรอดจากนรกและไปสวรรค์กันได้อย่างไร ประการแรกคือ เราต้องกลับใจใหม่ และอย่าลืมนะครับว่า การกลับใจใหม่เกิดขึ้นเมื่อคนสำนึกว่าตนทำผิดต่อพระเจ้า และต่อพระพักตร์พระเจ้าเขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยบาป ความรู้สึกเสียใจเกิดขึ้นอย่างจริงใจ เขาชิงชังบาปผิดในตัวเอง อยากจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่รู้ตัวว่าไม่สามารถทำได้ เขารู้ว่าการพึ่งพาความสามารถของตัวเองนั้นจะไม่ก่อให้เกิดผลใด ๆ ทั้งสิ้น เขาปรารถนาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงและเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า
เมื่อคนสำนึกได้อย่างนั้น เขาก็จะตั้งความหวังไว้ที่พระสัญญาของพระเยซูคริสต์ ที่ทรงให้ไว้โดยการสิ้นพระชนม์บนกางเขนที่กลโกธา และเมื่อคนเชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า เชื่อว่าพระวจนะของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์จะทรงทำตามพระสัญญา เขาก็จะได้รับความรอด
คนที่ได้รับความรอดแท้จริง จะเต็มล้นด้วยความสำนึกในพระคุณของพระเจ้าที่ทรงเมตตาช่วยกู้เขา เขารู้ว่าตัวเองไม่สมควรจะได้รับการช่วยกู้นั้น สำนึกนี้ทำให้เขาตระหนักถึงพระคุณของพระเจ้า เขายอมเปลี่ยนแปลงชีวิต และตั้งใจดำเนินชีวิตใหม่นับแต่วันนั้น ด้วยความสำนึกในพระคุณ และด้วยใจกตัญญู และนี่เองคือเหตุผลสำคัญที่อธิบายว่าทำไมอับราฮัม ในปฐมกาลบทที่ 22 จึงเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้าถึงขนาดที่ยอมมอบถวายอิศอัคเป็นเครื่องบูชา 44 ปีหลังจากที่เขาเชื่อพระองค์ใน ปฐมกาลบทที่ 15 ความเชื่อฟังและการยอมทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าแสดงถึงความสำนึกในพระคุณ ของอับราฮัมที่มีต่อพระองค์
ความเชื่อเกิดขึ้นได้อย่างไร
โรม 10:17 “ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า” หนทางของพระเจ้าที่กลายมาเป็นทางของคุณและผมนั้น เราต่างก็ ได้มาด้วยความเชื่อที่มีต่อพระเยซูคริสต์ และไม่ว่าจะเป็นการได้รับการชำระให้สะอาดปราศจากบาป การเปลี่ยนแปลงสถานภาพจากฝ่ายที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้ามาเป็นฝ่ายที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ต่างก็มาถึงเราได้จากการที่เราได้ยินสิ่งที่พระเจ้าตรัสก่อนเป็นประการแรก
คงยังไม่ลืมกัว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงมองดูเราจากภายนอกแต่ทรงมองลึกลงไปภายในจิตใจ เราจำเป็นต้องรู้ว่าพระเจ้าตรัสอะไรบ้าง เพราะตัวเรามีแต่ความคิดของตัวเองเต็มไปหมด และเราก็ดูคนอื่นออกเหมือนกันว่าเขาคิดอย่างไร แต่ไม่ว่าเราจะคิดอะไร อย่างไร สิ่งที่เราคิดก็ไม่มีผลต่อวันที่พระจ้าเสด็จมาพิพากษาโลก ต่อให้เราทุกคนลงคะแนนออกเสียงร่วมกันหมด ไม่ว่าจะมีกี่เสียงก็ไม่มีประโยชน์อะไร อำนาจเด็ดขาดอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้า และการได้ยินพระวจนะของพระเจ้าเป็นบ่อเกิดแห่งความเชื่อของเรา ถ้าพระเจ้าตรัสว่าอะไรจริง อะไรถูก สิ่งนั้นก็จะต้องจริงและถูกตามพระวจนะของพระองค์เท่านั้น
สมมุติว่ามีใครสักคนหนึ่งเกิดและโตนอกโลกนี้ ซึ่งอยู่นอกเหนือกฎเรื่องแรงโน้มถ่วง เขาเกิดและโตขึ้นในอวกาศซึ่งทุกอย่างลอยเคว้งคว้างอยู่ตลอดเวลา แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งเขาตัดสินใจจะเข้ามาอยู่ในโลก พี่น้องเพื่อนฝูงของเขาพยายามอธิบายให้เข้าใจว่าสถานภาพของเขาต้องเปลี่ยนไป เขาต้องเดิน ต้องยืนอยู่บนพื้นตามกฎของแรงโน้มถ่วง คุณคิดว่าเขาจะยอมเชื่อง่าย ๆ ไหม เขาคงไม่ยอมเชื่อง่าย ๆใช่ไหม เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นอย่างนั้น แต่ทันทีที่เข้าเดินทางเข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลก ตัวเขาจะหยุดลอยไปมาและถูกแรงดึงดูดให้ยึดติดอยู่บนเก้าอี้ พอก้าวออกจากยาน เขาก็จะตกแอ้กลงมากระทบพื้น ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มสำนึกว่ากฎดังกล่าวที่ใครต่อใครบอกเขาไว้นั้นเป็นความจริง และฉับพลันนั้นเองเขาก็เรียนรู้ว่าทุกอย่างที่เคยคิดว่าจริงก่อนเข้ามาในโลก เวลานี้มันกลายเป็นความไม่จริงไปแล้ว
ตัวเราเองก็เช่นกัน วันหนึ่งต้องไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด คุณคิดว่าคุณมีพระเจ้าและชีวิตนิรันดร์เพราะตัวคุณค้นพบและล่วงรู้และหาทางมาได้ด้วยปัญญาของตัวเองเอง แต่พระเจ้าตรัสว่า “ ความเชื่อเกิดขึ้นได้เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า “ คุณต้องรู้ว่าเราต้องเชื่อและทำตามพระวจนะหรือวิธีการของพระเจ้า ไม่ใช่ตามวิธีของตัวเอง พระเจ้าทรงให้ธรรมบัญญัติเรื่องชีวิตนิรันดร์แก่เราในพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระองค์ ทางเลือกของเราคือเชื่อฟังธรรมบัญญัติ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับชีวิตนิรันดร์ หรือไม่ก็เข้าสู่สภาพความเป็นนิ-รันดร์อย่างคนที่ไม่ได้เตรียมตัว และรับทุกข์ทรมานตลอดจนผลของสิ่งที่เราเป็นและทำในเวลาที่ผ่านมา
ความเชื่อคือการเชื่อ
ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมาเพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ได้อย่างไร คำตอบคือด้วยความเชื่อ และการทำตามความเชื่อ สิ่งนี้เป็นความจริงที่เห็นได้ในพระวจนะตลอดทั้งเล่ม โดยความเชื่อและการปฏิบัติตามความเชื่อนั่นแหละที่ทำให้คนได้รับการช่วยกู้ให้รอดจากความพินาศ จากการตกนรกนิรันดร์ และได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นผู้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ที่จะทรงมอบชีวิตนิรันดร์ให้ และนี่เองคือวิธีการช่วยให้รอดของพระเจ้า
คุณไม่มีทางที่จะยอมเชื่อว่าคุณต้องเชื่อฟังพระเจ้าจนกว่าคุณจะยอมรับว่าสิ่งต่าง ๆ ที่คุณเคยเชื่อตามสายตาและความคิดของตัวเองนั้นไม่ถูกต้อง คนส่วนมากเห็นว่าตัวเองเป็นคนดีในระดับหนึ่ง หรือไม่ก็ได้พยายามทำดีที่สุดแล้ว คนเหล่านี้คิดว่าเมื่อไปสวรรค์ เขามีทางที่จะเอาตัวรอดและมีข้อต่อรองกับพระเจ้า แต่พระคัมภีร์กล่าวไว้ในสุภาษิต 14:12 ว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราดูเหมือนถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา” ทางที่ดูเหมือนถูกในสายตาเราคือ การพยายามเข้าสวรรค์โดยการกระทำความดี พยายามประพฤติตนเป็นคนดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และคิดเอาเองว่าทำดีขนาดนี้แล้วพระเจ้าจะต้องทรงมองข้ามบาปของตน แต่พระคัมภีร์กล่าวว่าที่สุดของทางนี้คือความตายซึ่งหมายถึงนรกนิรันดร์ คุณไม่อาจรับการช่วยให้รอดได้จนกว่าคุณจะยอมรับว่า ทางของตัวคุณเองนั้นเป็นทางผิด คุณต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป คุณต้องการพระผู้ช่วยให้รอด พี่น้องเรามากมาที่มองข้ามความจริงเรื่องการกลับใจใหม่นี้ แต่คุณต้อไม่รวมอยู่ในบรรดาคนเหล่านั้น เพราะคนที่มีความเชื่อแท้จะต้องไม่มองข้ามความจริงข้อนี้
ความเชื่อนำมาซึ่งความชอบธรรม
โรม 3: 21-28 “แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมของพระเจ้านั้น ปรากฏนอกเหนือพระราชบัญญัติซึ่งพระราช
บัญญัติกับพวกศาสดาพยากรณ์เป็นพยานอยู่ คือความชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์สำหรับทุกคนและแก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน เหตุว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากสง่าราศีของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระองค์ในการที่พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงความชอบธรรมของพระองค์ในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรมและทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะเอาอะไรมาอวดก็หมดหนทาง จะอ้างหลักอะไรว่าหมดหนทาง อ้างหลักการประพฤติหรือ ไม่ใช่ แต่ต้องอ้างหลักของความเชื่อ เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายสรุปได้ว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ก็โดยอาศัยความเชื่อ นอกเหนือการประพฤติตามพระราชบัญญัติ”
ถ้าใครคนหนึ่งเชื่ออย่างแท้จริง ความเชื่อนั้นจะเปลี่ยนเขาได้แค่ไหน พระคัมภีร์ตอนนี้ตอบเราว่าเขาจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะตรงนี้คือสิ่งที่พระเจ้าตั้งไว้ให้เป็นจุดเริ่มต้นของการทุกอย่าง พระเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นว่าความชอบธรรมแท้จริงในองค์พระเยซูคริสต์คืออะไร และพระองค์ตรัสว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะอาศัยไปถึงความรอดได้ คือความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์
พระเจ้าทรงโปรดให้ทุกคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ได้รับความรอดโดยหนทางเดียวกัน คือโดยความเชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าคุณจะเป็นคนดีหรือชั่วร้ายขนาดไหน อีกไม่นานทุกคนจะต้องไปอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเหมือนกันหมด
พระเจ้าทรงโปรดให้เราเป็นคนชอบธรรมโดยการทรงไถ่เราให้พ้นบาป คำว่าไถ่หมายความถึงการทรงนำเรากลับไปเป็นของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ข้อความที่ว่าพระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นบาปแล้วนั้นหมายถึงความจริงที่ว่าพระคริสต์ทรงชำระค่าบาปทั้งหลายให้เราแล้ว พระ
เจ้าจึงทรงสามารถซื้อเราและไถ่เราจากบาปกลับคืนเป็นของพระองค์ได้
เมื่อเรารับด้วยความเชื่อมั่นว่าการทรงชำระบาปของพระเยซูนั้นทรงทำเพื่อเรา พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงโปรดให้เราเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจอันชอบธรรมในการกระทำเช่นนี้ เพราะพระองค์เองตรัสสั่งไว้ว่า บาปต้องได้รับการชดใช้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กล่าวคือคุณจะชดใช้บาปเองด้วยการตายและตกนรกนิรันดร์ หรือจะเลือกเชื่อพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงตั้งไว้ให้เป็นผู้ลบล้างบาปทั้งปวงของคุณ การเลือกพระเยซูคริสต์ หมายความว่าคุณไว้วางใจพระองค์และทุกสิ่งที่ทรงทำเพื่อคุณในเวลาที่ผ่านมา ตลอดจนศรัทธาเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นมีคุณค่าเพียงพอที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนชอบธรรมต่อพระเจ้าได้
อะไรคือสิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำเพื่อให้คุณกลายเป็นคนชอบธรรมต่อพระเจ้า ตำตอบคือพระองค์ทรงตายเพื่อชำระบาปให้เราบนกางเขนที่กลโกธา ทรงถูกตรึงตายบนกางเขนที่กลโกธาแทนเรา บาปต้องได้รับการชำระ พระเจ้าเองทรงเรียกร้องให้มีการชดใช้ชำระค่าบาป มีบาปต้องมีผู้ชำระ และวิธีการชำระบาปนั้นมีทางเดียว คุณต้องเลือกเอาว่าจะตายตกนรกนิรันดร์ หรือรับเอาการทรงชดใช้ชำระซึ่งพระเยซูทรงทำให้แล้วบนกางเขนที่กลโกธา
แต่ต้องไม่ลืมว่า แม้ว่าพระเยซูทรงตายเพื่อมนุษย์ทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับความรอด พระเจ้าจะยังไม่ทรงนับว่าการทรงชำระของพระเยซูนั้นเป็นความชอบธรรมของคุณ จนกว่าคุณพร้อมที่จะยอมรับว่าคุณช่วยตัวองไม่ได้และต้องการผู้หนึ่งมาช่วยชดใช้ชำระหนี้
สินให้คุณ คุณต้องยอมรับก่อนว่าบาปของคุณนั่นเองที่เป็นเหตุให้พระเยซูทรงต้องถูกตรึงบนกางเขนแห่งนั้น
ยอห์น 3:36
“ผู้ที่เชื่อในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อในพระบุตรก็จะไม่เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าก็ตกอยู่กับเขา” พระวจนะข้อนี้สามารถแยกออกได้สองส่วน คือส่วนที่กล่าวถึงพระเจ้าและส่วนที่กล่าวถึงมนุษย์ ซึ่งเราจะดูกันทีละส่วน และตอนนี้ให้เรามาดูส่วนแรกด้วยกันก่อน
ส่วนของพระเจ้า
ส่วนที่เป็นพระราชกิจของพระเจ้านั้นอยู่ตรงข้อความที่ว่า “มีชีวิตนิรันดร์” สิ่งที่เป็นพระราชกิจของพระเจ้าคือการทรงโปรดให้มีชีวิตนิรันดร์ หรือชีวิตที่ไม่ตาย คำว่า “มี” หมายถึงการครอบครองอยู่ในเวลานี้ ถ้าคุณมีอะไรอยู่ หมายความว่าคุณเป็นเจ้าของสิ่งนั้นเดี๋ยวนั้น ดังนั้นถ้าผมเชื่อพระเยซูคริสต์ ผมก็มีชีวิตนิรันดร์อยู่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย การมีชีวิตนิรันดร์ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องรอให้ตายไปก่อนแล้วถึงจะรู้ได้ว่าจะมีหรือไม่มี และมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องรอไปจนกว่าผมจะตายแล้วนั่นแหละพระเจ้าถึงจะประทานให้ผม แต่มันหมายถึงว่าทรงให้ผมได้เป็นเจ้าของชีวิตนิรันดร์นี้ตั้งแต่เวลานี้ และเดี๋ยวนี้เลย
ชีวิต ชีวิตไม่ใช่แค่การเกิดมามีมีตัวตนอยู่ในโลกเท่านั้น แต่เป็นผลจากการมีความสัมพันธ์ และความสัมพันธ์นี่เองที่เป็นเหตุให้เรามีชีวิต ความสัมพันธ์ทำให้ชีวิตมีความหมายครบถ้วนบริบูรณ์ ชีวิตไม่ใช่แค่ “เอาละ ฉันจะอยู่ตรงนี้ล่ะนะ ฉันจะกิน จะดื่ม จะทำอะไร ๆ อยู่ในโลกนี้ก็ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น” ชีวิตเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอยากมีชีวิตอยู่ เป็นสิ่งที่ทำให้การเกิดมีความหมายบริบูรณ์ และผู้ที่จะทำให้ชีวิตมีความหมายครบถ้วนบริบูรณ์นั้นก็คือตัวของมนุษย์เอง
พอจะมองออกไหมครับว่าเราถูกสร้างให้มีชีวิตอยู่อย่างมีจุด
หมาย ชีวิตเรามีมากกว่าแค่กิน นอน ทำงาน แล้วก็กิน แล้วก็นอน เวียนวนอยู่แค่นั้น ไม่ใช่นะครับ ชีวิตมีความหมายและมีความสำคัญมากกว่านั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่มเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ อย่าลืมว่าพระเยซูเสด็จมาในโลกนี้ เพื่อให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์ และรับได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลยด้วย
ชีวิตนิรันดร์ ชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับจากพระองค์ เป็นชีวิตที่คงทนยืนนาน นานแค่ไหนหรือครับ นานตลอดไป ตลอดนิรันดร์กาล ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ใช่นับจากวันนี้ไปสักพันปี หมื่นปี หรือแสนปีแล้วก็หมด นิรันดร์กาลไม่มีที่สิ้นสุด ต่างจากคำว่าคงทน อย่างที่ใช้เรื่องคุณภาพของของบางอย่าง เพราะของที่คงทนนั้นยังมีเวลาเสื่อมเสีย อาจจะใช้ได้นานแต่ก็มีเวลาที่ต้องเปลี่ยนหรือซื้อหาใหม่ แต่ชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่เราเป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นชีวิตที่จะคงอยู่ตลอดไป ยืนยาวและคงทน ไม่มีวันสิ้นสุด
มีคนบางพวกสอนเรื่องนี้ว่าหลังจากได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้าแล้วถ้าใครยังขืนทำบาปต่อไปอีก พระเจ้าจะทรงเอาคืน คำสอนแบบนี้เป็นคำสอนที่มนุษย์คิดขึ้นมาเอง ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า ที่ผมมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ไม่ใช่เพราะผมทำตนเป็นคนดี หรือใช้ความเพียรพยายามอย่างสูง หรือสะสมผลบุญไว้จนมากพอ ผมเป็นลูกของพระองค์หรือได้รับความรอดได้ เพราะพระเมตตาของพระเจ้าต่างหาก พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ประทานหรือเอาความรอดไปจากเราได้ แต่พระองค์จะไม่ทรงทำอย่างนั้นแน่ เพราะพระองค์ตรัสไว้แล้วว่าสิ่งนี้เป็นนิรันดร์ พระองค์คือผู้ที่ตรัสไว้ว่าจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงสิ่งนี้ไปได้ (ยอห์น10:28-29)
เป็นไปได้ว่ามีบางคนอ่านพระวจนะของพระจ้าแล้วใช้สติปัญญาของตัวตัดสินเอาเองว่าไม่สมเหตุสมผล ก็เลยประดิษฐ์คำสอนขึ้นมานอกเหนือจากที่พระคัมภีร์สอนไว้ พวกเขาคิดว่าคนที่ได้รับความรอดแล้วหากยังขืนทำบาป ก็ไม่น่าจะได้รับชีวิตนิรันดร์อีกต่อไป ก็เลยสอนว่าพอคุณทำบาปไปถึงระดับหนึ่งพระเจ้าจะทรงเอาความรอดคืน คนที่สอนแบบนี้บอกว่าหลักประกันที่ว่า ถ้าได้รับชีวิตนิรันดร์แล้วจะได้รับตลอดไปเลย ดูไม่น่าเป็นไปได้ บางทีมันอาจจะฟังดูอย่างนั้นสำหรับคุณเหมือนกัน แต่นี่เป็นวิธีการของพระเจ้า พระเจ้าทรงทำสิ่งต่าง ๆตามที่ทรงเห็นสมควร และทรงบอกเราไว้ชัดเจนในพระวจนะของพระองค์ว่าจะทรงทำอะไรบ้าง เราเชื่อและวางใจพระองค์ได้
ส่วนที่เกี่ยวกับตัวเรา
เราเห็นกันแล้วว่าส่วนที่เป็นงานของพระเจ้าคือเรื่องของ ความรอด แล้วส่วนที่เกี่ยวกับเราล่ะ ส่วนของเราอยู่ตรงพระวจนะที่ว่า “ผู้ที่เชื่อในพระบุตร” ให้เรามาดูเรื่องนี้กันสักหน่อย
คำว่า ผู้ คำนี้หมายถึงใคร เป็นคำที่มีความหมายกว้างมาก หมายถึงใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือใครก็ตามที่เชื่อ คำนี้ไม่ได้กำหนดว่าต้องนับถือศาสนาคณะไหน นิกายไหน ไม่ได้กำหนดว่าอยู่ที่ไหน หรือ ต้องอยู่ตรงไหนตอนที่รับเชื่อพระองค์ด้วย
ที่เชื่อ คำว่า เชื่อเป็นคำที่แสดงถึงการมอบความไว้วางใจ ความศรัทธา การรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนเดินทางผิดหลงหาย และสมควรแก่นรก เป็นคนที่ไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ และอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง คนพวกนี้รู้แจ้งว่าพระคริสต์ทรงตายบนกางเขนเพื่อบาปของตน พวกเขารู้และเข้าใจด้วยว่าสิ่งเดียวที่พระเจ้าทรงยอมรับเป็นค่าไถ่บาปของพวกเขาคือความตายของพระคริสต์ พวกเขารู้ว่าการยอมรับพระเยซูคือความหวังหรือหนทางเดียวที่จะไปสวรรค์ได้ พระเจ้าทรงเชิญชวนผู้ที่จะเชื่อทุกคนนี้ให้วางใจในพระบุตรของพระองค์ และทรงยื่นชีวิตนิรันดร์ให้แก่ทุกคนเหล่านี้ที่จะหันมาหาพระองค์ด้วย
เมื่อคนคนหนึ่งเชื่อ เขากำลังพูดว่า “ จากนี้ไปฉันจะหันหลังให้บาปของฉัน จะหันหลังให้กับทางที่ไม่ถูกต้องทั้งหลายของฉัน จะหันไปหาองค์พระเยซูคริสตเจ้า ตั้งแต่วันนี้ไปจะดำเนินชีวิตตามความจริงที่รู้ว่า บาปผิดต่าง ๆ ของฉันจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นความชอบธรรมต่อพระเจ้าได้โดยพระเยซูคริสต์ทางเดียวเท่านั้น พระเยซูคริสต์ทรงตายแทนฉันแล้ว ”
ความเชื่ออย่างนี้เป็นความเชื่อที่เกิดจากความเชื่อฟังและไว้วาง
ใจอย่างแท้จริง และคนอย่างนี้จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเช่นนี้ไปจนวันตาย เขากลายเป็นคนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ครั้งหนึ่งความโลภ ความเห็นแก่ตัว ตัณหาของตัวเองคือแรงบันดาลใจในชีวิตของเขา แต่บัดนี้สิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนในชีวิตกลับกลายเป็นความปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เขาอยากจะรับใช้พระองค์และรักพระองค์นับแต่นั้นไปจนวันตาย แต่คุณค่าของการรับใช้พระเจ้านั้นเทียบกันไม่ได้กับสิ่งที่พระคริสต์ทรงทำเพื่อเขาแน่นอน
ในพระบุตร ข้อความนี้คือกุญแจดอกสำคัญที่สุดสำหรับทุกเรื่องทีเดียว คุณต้องเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระบุตร การที่คุณจะรอดได้นั้นคุณต้องรู้ว่าพระองค์เป็นใครและทรงทำอะไรมาบ้าง ถ้าคุณยังไม่รู้ไม่เข้าใจว่าพระองค์เป็นใคร และทรงทำอะไรมาบ้าง ก็จะไม่มีความรอดสำหรับคุณ ถ้าคุณไม่รับรู้ไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงตายบนกางเขนแล้วและทรงเป็นผู้ชำระบาปที่พระเจ้าทรงมอบให้ ก็ไม่มีความหวังอะไรสำหรับคุณด้วย คุณต้องมีความเชื่ออย่างนี้เป็นจุดเริ่มต้น
วาระแห่งชีวิต
บนเส้นทางชีวิตของคนเรา เรามีวาระแห่งการเกิด วาระแห่งการจบการศึกษา วาระแห่งการเริ่มทำงาน วาระแห่งการเริ่มครอบครัวใหม่ การแต่งงานของคุณบางคน บางทีบนเส้นทางชีวิตนี้อาจจะมีสักวันหนึ่งหรือสักที่หนึ่งที่คุณได้บังเกิดใหม่ เป็นวาระที่คุณได้สำนึกและเข้าใจว่าคุณทำผิดบาปต่อพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ทรงตายเพื่อคุณแล้ว ทรงเป็นที่พึ่งและเป็นความหวังเดียวสำหรับคุณ แล้วคุณก็กลับใจจากบาปและเชื่อวางใจพระองค์ ต่อจากนั้นก็ทูลขอพระเจ้าให้ทรงประทานความรอดแก่คุณ โดยพึ่งในสิ่งที่พระคริสต์ทรงทำเพื่อคุณแล้วนั้น
โรม 10: 9 บอกเราว่า “ถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด” ตรงนี้เองคือหนทางหรือเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เมื่อจะทรงมอบสิ่งที่พระคริสต์ทรงทำบนกางเขนให้แก่คุณ กล่าวคือคุณต้องยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงครอบครองชีวิตคุณด้วยปากของคุณเอง การพูดว่าคุณเชื่อพระองค์เท่านั้นไม่พอ เวลานี้เรากำลังพูดถึงความเชื่อในแง่ที่ทำให้เห็นว่าชีวิตคุณเปลี่ยนไป เรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ คุณต้องมองเห็นว่าตัวเองเป็นคนผิดบาป คุณต้องกลับใจและยอมเต็มใจหันหลังให้บาป ทั้งบาปที่มีอยู่ภายในและภายนอกตัวคุณ คุณจะต้องหันไปหาพระเยซูคริสต์ ให้พระองค์เป็นจอมเจ้านายในชีวิตคุณ และตอนนั้นเองที่คุณวางจิตใจ วางความเชื่อทั้งหมดของคุณไว้กับพระองค์ พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะทรงเปลี่ยนสภาพคุณจากผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดเข้าสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง พระเจ้าทรงย้ายคุณจากฝ่ายที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ให้ไปอยู่ในฝ่ายที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์
สิ่งนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่ไม่ถึงอึดใจ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีหนึ่งในชีวิตคุณ เป็นวินาทีที่คุณจะจดจำไปจนชั่วชีวิต สิ่งนี้ไม่ได้ใช้เวลาเนิ่นนาน ความรอดไม่ใช่สิ่งที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นในตัวคุณ เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาประทับในจิตใจและชีวิตคุณ มันเกิดขึ้นในวาระที่รวดเร็ว และเมื่อคุณได้พบกับพระองค์ผู้ทรงฤทธานุภาพเหนือโลกและจักรวาลไม่มีทางที่คุณจะทำเฉยเมยไม่รับรู้ถึงการเสด็จมาของพระองค์ได้เลย
คุณเคยได้รับการทรงช่วยให้รอดจากนรกแล้วหรือยัง พระเจ้าเคยทรงช่วยกู้คุณจากทางบาปทั้งหลายแล้วหรือยัง ถ้าเคยแล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไร จำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ไหม บางทีคุณอาจจะลืมวันเดือนปีที่มันเกิดไปแล้ว แต่คงไม่ลืมว่าเกิดอะไรขึ้น หรือตอนนั้นคุณอยู่ที่ไหน ถ้ามีเวลาและมีประสบการณ์แล้วลองถามตัวเองดูว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณกลับใจจริง ๆ หรือเปล่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และคุณเชื่อมั่นด้วยความจริงใจหรือเปล่าว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ช่วยคุณให้รอดและนำคุณไปสวรรค์ได้
ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์ความรอดที่แท้จริง จะต้องมีองค์ประกอบที่กล่าวมาแล้วอยู่ด้วย และถ้าผมขอให้คุณเล่าถึงสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับคุณ คุณจะทำได้ไหมครับ ส่วนคุณ ๆ ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในชีวิต ผมขอเชิญชวนให้คุณเข้ามาถวายตัวต่อองค์พระผู้ช่วยให้รอดตั้งแต่เวลานี้เลย หันหลังให้ความบาป เกียรติยศและศักดิ์ศรีของตัวเอง แล้วรับองค์พระเยซูคริสต์เป็นจอมเจ้านาย เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และให้พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง เป็นความหวังและเป็นหนทางเดียวที่จะนำคุณไปสวรรค์ เชิญเข้ามาหาพระองค์สิครับ
สรุปโครงสร้างบทเรียน
เราได้เรียนรู้กันมาแล้วว่ามนุษย์ต้องได้รับโทษเพราะบาปของตน แต่พระเจ้าทรงให้พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเป็นหนทางให้มนุษย์ได้รับการอภัยโทษ ในบทเรียนชุดนี้เราได้พูดคุยกันถึงวิธีการซึ่งจะทำให้เราเป็นผู้หนึ่งที่จะได้รับผลของการกระทำของพระคริสต์
องค์ประกอบของการได้รับความรอดที่ต้องคำนึงถึง
มาระโก 1:14-15 กลับใจใหม่และเชื่อ -- พระเยซู
กิจการ 20:20-21 กลับใจใหม่และเชื่อวางใจ -- เปาโล
11. การกลับใจ
ก. โยบ 42:6 เสียใจอย่างยิ่งต่อความผิดบาปของตน
ข. 2โครินธ์ 7:9-11 ความเสียใจอย่างที่พระเจ้าชอบ พระทัยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ค. 1เธสะโลนิกา 1;9-10 ละทิ้งบาปหันไปหันไปหาพระเจ้า
ง. มัทธิว 3:8 เห็นถึงชีวิตที่เปลี่ยนแปลง
จ. ลูกา 19:1-10 ศักเคียสเปลี่ยนแปลง ( คืนให้สี่เท่า )
ฉ. 2ทิโมธี 2:25-26 มารับความจริง
- ความเชื่อ
ก. ยากอบ 2 :14-18 ไม่ใช่แค่พูดว่าเชื่อ
ข. ยากอบ 2 :19-20 ไม่ใช่แค่เชื่อและไม่เปลี่ยนแปลง
ค. ยากอบ 2:21-26 อับราฮัมเชื่อ – ปฐมกาล 15:8 ทรง นับเป็นความชอบธรรม; ปฐมกาล 22 ราหับเชื่อ และ พิสูจน์เป็นความเชื่อฟังโดยการช่วยเหลือผู้สอดแนม
ง. โรม 4:1-5 โดยความเชื่อไม่ใช่โดยการประพฤติ
จ. ยอห์น 3 :16 เชื่อวางใจ-เชื่อฟัง และมอบถวายทุกส่วนใน ชีวิตแด่พระคริสต์
ฉ. โรม 321-28 พระเจ้าทรงเป็นผู้ชอบธรรมและทรงโปรด นับผู้เชื่อในพระคริสต์เป็นผู้ชอบธรรมด้วย
13. ยอห์น 3:36
- ส่วนที่เป็นของพระเจ้า
- มีอยู่-- เดี๋ยวนี้เลย
- ถาวร—ยืนยงไม่ใช่ชั่วคราว
- ชีวิต—มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
- ส่วนของเรา
- พระองค์—คุณ
- ความเชื่อ---วางใจ
- โรม 10:9-10, 13
14. วาระแห่งชีวิต
ก. เกิด ……………………………………………………ตาย
ข. คุณกลับใจและเชื่อเมื่อไร
ค. คุณเห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
สรุปส่งท้าย
เมื่อรู้และเข้าใจความจริงอย่างนี้แล้วคุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะทำอย่างไรเรื่องพระเยซูคริสต์
พื้นฐานของความรอด - คำถาม บทที่ 4
1. พระเยซูคริสต์ทรงรับเอาความผิดบาปของเราไป เป็นของ พระองค์และทรงตายบนกางเขนเพื่อรับโทษทัณฑ์แทนเรา เพื่อให้ เราได้รับการอภัยโทษความผิดบาปจากพระเจ้า
ถูก หรือ ผิด
2. ถึงแม้ว่าพระเยซูทรงตายเพื่อมนุษย์ทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมี ความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้โดยการทรงตายนั้น
ถูก หรือ ผิด
3. ถ้าเราต้องการให้สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงทำบนกางเขนนั้นเป็นไป เพื่อเราเป็นของเรา เราต้องทำอย่างไรบ้าง
-
- กลับใจใหม่และเชื่อในพระเยซู
- เชื่อเท่านั้นก็พอแล้ว
- สร้างบุญ สร้างกุศล
- เชื่อและทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า
- ข้อไหนไม่ใช่ผลของการกลับใจใหม่
-
- การกลับใจใหม่ทำให้คนที่กลับใจเกลียดชังตนเอง ( บาปของตน )
- การกลับใจใหม่ทำให้คนที่กลับใจพยายามแสวงหาทางไปสวรรค์ด้วยตัวเอง
- การกลับใจใหม่ทำให้คนที่กลับใจเสียใจที่สุดต่อบาป
- การกลับใจใหม่ทำให้คนที่กลับใจตัดสินใจหันหลังให้รูปเคารพทั้งหลาย
- ข้อไหนที่ไม่ใช่ความเสียใจอย่างที่พระเจ้าพอพระทัย
-
- ความเสียใจของคนที่เข้าเฝ้าพระเจ้าใจสำนึกผิดอย่างแท้จริง
- ความเสียใจอย่างที่ทำให้คนตัดสินใจหันหลังให้กับชีวิตเดิมของตน
- ความเสียใจอย่างที่ทำให้คนตัดสินใจดำเนินชีวิตตามใจตัวเองเท่านั้น
- ความเสียใจอย่างที่ทำให้คนปรารถนาจะติดตามพระคริสต์นับแต่วันนั้นเป็นต้นไป
6. รูปเคารพไม่ได้หมายถึงวัตถุสิ่งของที่เราตั้งไว้กราบไหว้บูชาในบ้าน เท่านั้น แต่หมายรวมถึงคนหรืออะไรก็ตามที่เรารักมากกว่า พระคริสต์
ถูก หรือ ผิด
7. เมื่อการกลับใจใหม่แท้จริงเกิดขึ้นในชีวิตใครก็ตาม ชีวิตของคน คนนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ถูก หรือ ผิด
- การกลับใจใหม่ทำให้คนที่กลับใจนั้นยอมรับอะไร
-
- คนอื่น ๆ
- ความจริง
- ตนเอง
- ศาสนา
- ความเชื่อแบบไหนเป็นความเชื่อแท้
-
- ความเชื่อตาย ( ปลอม )
- ความเชื่ออย่างปีศาจ
- ความเชื่อแบบที่มีใจปรารถนา
- ความเชื่อที่เป็นพลัง
- ข้อต่อไปนี้ข้อไหนไม่ใช่ลักษณะนิสัยของคนที่มีความเชื่อตาย ( ปลอม )
ก. ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลง เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
-
- เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า
- เขาไม่สนใจจะไปโบสถ์
- เขาไม่สนใจจะอ่านพระคำของพระเจ้า
- ลักษณะนิสัยแบบไหนไม่ใช่ลักษณะของความเชื่อแบบปีศาจ
-
- เชื่อเหมือนกันกับที่ผีปีศาจเชื่อ
- เชื่อแบบที่รู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า
- เชื่อแบบที่กลัวจนตัวสั่นเมื่อฟังคำเทศนาสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่คิดจะทำอะไรตามคำสอนนั้น
- เชื่อแบบที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง
- พระเจ้าทรงเห็นว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรมได้เพราะอะไร
-
- เขารับบัพติศมา
- เขาสร้างบุญสร้างกุศล
- เขาเข้าสุหนัต
- เขาเชื่อพระเจ้า
- หลังจากเราเชื่อในพระเยซูแล้ว ข้อไหนต่อไปนี้จะไม่เกิดขึ้นกับเรา
-
- ชีวิตเราเป็นของพระเจ้า
- พระเจ้าทรงเป็นผู้นำเราทุกย่างก้าวในการดำเนินชีวิต
- เรามีท่าทีความคิดว่า” ฉันเป็นของพระเจ้า มีอะไรที่ฉันจะรับใช้พระองค์ได้บ้าง “
- เราจะเป็นเจ้านายของตัวเอง
- คนที่เชื่ออย่างแท้จริง ความเชื่อนั้นจะทำให้เขาทำสิ่งไหนในข้อต่อไปนี้
-
- เขาจะทำทุกอย่างตามที่อยากทำ โดยไม่สนใจว่าพระเจ้าจะทรงสอนอะไร หรืออย่างไร
- เขาจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
- เขาอยากทำตามใจตัวเอง
- ชีวิตเขาไม่เปลี่ยนแปลง
- อับราฮัมแสดงความสำนึกถึงพระคุณพระเจ้าที่ทรงโปรดช่วยเขาให้รอดโดยการเชื่อฟังพระองค์
ถูก หรือ ผิด
- วิธีการแรกที่พระเจ้าทรงนำเราไปถึงความเชื่อ คือ
-
- การได้ยินได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า
- การอธิษฐานต่อพระเจ้า
- การทำบุญทำกุศลถวายพระองค์
- การไม่ทำบาป
17. พระเจ้าทรงมองดูคนแค่ภายนอก ไม่ทรงมองดูในจิตใจ
ถูก หรือ ผิด
- ข้อไหนเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคิดถึง
-
- คิดว่าตัวเอ
- งเป็นคนบาป ต้องการพระผู้ช่วยให้รอ
- ทางไหนที่จะนำเราให้พ้นนรก
-
- ประกอบการงานดี
- ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
- คิดว่าพระเจ้าจะมองข้ามบาปของตน
- ยอมรับว่าตนเป็นคนบาปและต้องการพระองค์ผู้ทรงช่วยให้รอด
20. ถ้าจะมีความเชื่อที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องกลับใจสำนึกผิดบาปก็ได้
ถูก หรือ ผิด
21. ทางรอดนั้นมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือทางพระเยซูคริสต์
ถูก หรือ ผิด
- พระเจ้าทรงช่วยเราให้เป็นคนชอบธรรมโดยการทรงไถ่บาป คำว่าการทรงไถ่นี้หมายความว่าอย่างไร
ก. พระคริสต์ทรงจ่ายชำระค่าความผิดบาปให้เรา ทรงซื้อเรา คืน จากบาป
-
- เราจ่ายชำระค่าความผิดบาปของตัวเอง ด้วยตัวเองได้
- เราจ่ายชำระค่าความผิดบาปของตัวเองด้วยการทำบุญทำกุศล
- เราไม่มีหนี้บาปใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเราไม่ได้ทำบาป
23. หนทางเดียวที่หนี้บาปของเราจะได้รับการชดใช้คือ เราต้องตายตก นรกตลอดนิรันดร หรือไม่ก็ยอมรับการทรงชดใช้แทนเราของ พระเยซูเมื่อทรงตายบนกางเขน
ถูก หรือ ผิด
- คุณต้องเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระบุตร
ถูก หรือ ผิด
25. วาระเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาประทับในชีวิตและจิตใจของคุณ จะต้องเกิดขึ้น
ถูก หรือ ผิด
ยินดีด้วยนะครับที่คุณเรียน “ พื้นฐานของความรอ ” จากวิทยาลัยมาสเตอร์แบ๊พทิสต์แห่งเมืองฟาร์โก รัฐนอร์ทดาโกตา สหรัฐอเมริกา จบสมบูรณ์แล้ว ถ้าคุณสามารถทำคะแนนได้ตั้งแต่ 50 % ขึ้นไปคุณจะได้รับประกาศนียบัตรแห่งความสำเร็จนี้จากวิทยาลัยของเรา ขอให้คุณเขียนหรือพิมพ์ชื่อและนามสกุลของคุณเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทยก็ได้ตามแต่ความต้องการของคุณลงเหนือเส้นบรรทัดข้างล่างนี้เพื่อเราจะได้นำไปพิมพ์ลงบนใบประกาศ ฯ ของคุณ
______________________________________________
กรุณาตอบคำถามต่อไปนี้
1. ก่อนเรียนบทเรียนชุดนี้ ข้อความต่อไปนี้ข้อไหนตรงกับตัวคุณมาก
ที่สุด
1. นับถือศาสนาพุทธ เรียนบทเรียนชุดนี้เพื่อเอาใบประกาศ ฯ
-
- นับถือศาสนาพุทธ แต่สนใจเรื่องของคริสเตียน
- นับถือศาสนาอิสลาม
- นับถือศาสนาคริสต์
- เพิ่งนับถือศาสนาคริสต์
- ไม่แน่ใจว่านับถือศาสนาคริสต์หรือเปล่า
- ยังไม่นับถือศาสนาคริสต์
2. หลังจากเรียนบทเรียนชุดนี้แล้ว ข้อความต่อไปนี้ข้อไหนตรงกับตัวคุณมาก ที่สุด
-
- นับถือศาสนาพุทธ
- นับถือศาสนามุสลิม
- เพิ่งนับถือศาสนาคริสต์
- นับถือศาสนาคริสต์
- ไม่แน่ใจว่านับถือศาสนาคริสต์หรือเปล่า
- ยังไม่นับถือศาสนาคริสต์
3. ข้อความต่อไปนี้ ข้อไหนตรงกับสิ่งที่คุณเป็นอยู่
-
- มีโบสถ์ไปร่วมนมัสการเรียบร้อยแล้ว
- สนใจอยากจะเข้าโบสถ์เดียวกับผู้ให้บทเรียน หรืออยากให้หาโบสถ์ใกล้บ้านให้
- ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องคริสเตียนอยากให้มีคนมาหาที่บ้านและพูดคุยให้หายข้องใจ
- อยากเรียนบทเรียนพระคัมภีร์ทางไปรษณีย์ต่อ พื้นฐานความรอดตามพระคัมภีร์ ( คุณจะได้รับประกาศนียบัตรจากอเมริกาเมื่อเรียนจบ )