ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: natwill78

เรียนพระคัมภีร์จากยุคสร้างโลกถึงชีวิตพระเยซูคริสต์

บทที่ 19 – ทางของพระเจ้ากับทางของมนุษย์


 มาระโก 7:1-5  ครั้งนั้นพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์บางคน ซึ่งได้มาจากกรุงเยรูซาเล็มพากันมาหาพระองค์   เมื่อเขาได้เห็นเหล่าสาวกของพระองค์บางคนรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน  คือมือที่ไม่ได้ล้างก่อน เขาก็ถือว่าผิด เพราะว่าพวก

ฟาริสีกับพวกยิวทั้งสิ้นถือตามประเพณีสืบทอดมาจาก

บรรพบุรุษว่า ถ้ามิได้ล้างมือตามพิธีโดยเคร่งครัด  เขาก็ไม่รับประทานอาหารเลย และเมื่อเขามาจากตลาด ถ้ามิได้ล้างก่อน เขาก็ไม่รับประทานอาหาร และธรรมเนียมอื่นๆอีกหลายอย่างเขาก็ถือ คือล้างถ้วย เหยือก ภาชนะทองสัมฤทธิ์ และโต๊ะ  พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า“ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ประพฤติตามประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารโดยมิได้ล้างมือเสียก่อน”

เมื่อมีพวกฟาริสีสักคนหนึ่งบริจาคเงินแก่คนจนเขาก็จะกระทำอย่างแน่ใจว่าทุกคนรับรู้ว่าเขากำลังจะบริจาคเงินเพื่อว่าคนทั้งหลายจะได้เห็นเขาให้เงินอย่างชัดเจน  คนฟาริสีชอบอธิษฐานในที่สาธารณะเพื่อว่าทุกคนจะสามารถมองเห็นเขาได้  สิ่งต่างๆ ที่เขากระทำนั้นไม่ผิดหรอก  ทัศนคติหรือท่าทีในจิตใจของเขาต่างหากที่ผิด  เขาไม่ได้กระทำสิ่งเหล่านี้เพราะเขาเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้าที่จะช่วยเขาให้รอดจากความบาปทั้งหลายของเขา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเขากลับคิดว่าเขาดีพอแล้วที่จะกระทำให้พระเจ้าพอพระทัย  และเขาต้องการให้มนุษย์เห็นว่าเขาดีเพียงใด   พวกฟาริสีเป็นคนหน้าซื่อใจคด เขาทั้งหลายยกตัวเองในการกระทำสิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอก เช่น การล้างมือ เหยือก และโต๊ะก่อนที่เขาจะรับประทานอาหาร   พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่าพระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นความชั่วร้ายทุกอย่างในใจของเขา

พวกฟาริสีไม่เห็นด้วยกับสาวกของพระเยซู  เพราะสาวกของพระองค์ไม่ได้กระทำหลายสิ่งที่พวกฟาริสีเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ใดผู้หนึ่งที่จะได้รับการยอมรับจาก

พระเจ้า   พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีได้เพิ่มเติมกฎระเบียบหลายอย่างเข้าไปในพระวจนะของพระเจ้า   พวกเขาสอนว่ามนุษย์จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้เพื่อจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้า  พวกเขาเพิ่มเติมธรรมบัญญัติหลายร้อยข้อเข้าไปในธรรมบัญญัติดั้งเดิมที่พระเจ้าได้ทรงประทานแก่โมเสส   ไม่มีใครสามารถจะรักษาธรรมบัญญัติเหล่านี้ได้ทุกข้อ แต่พวกฟาริสีมีอำนาจปกครองอยู่เหนือประชาชนและจะพิพากษาปรับโทษเขาทั้งหลายเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำผิดธรรมบัญญัติแม้ว่าพวกฟาริสีจะทำผิดธรรมบัญญัติเดียวกันนี้เสียเอง

มาระโก 7:6,7   พระองค์ตรัสตอบเขาว่า“อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดก็ถูก ตามที่ได้เขียนไว้ว่า   ‘ประชาชนนี้ให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขาแต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาอวดอ้างว่าเป็นพระดำรัสสอน’ ....

พวกฟาริสีพูดสิ่งดีๆ มากมายเกี่ยวกับพระเจ้าด้วยริมฝีปากของเขา  แต่ภายในจิตใจของเขา  เขาไม่ได้รักพระเจ้าและไม่ได้เชื่อหรือเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์  เขาทั้งหลายไม่ได้มาหาพระเจ้าโดยเห็นด้วยกับพระองค์ว่าพวกเขาเป็นคนบาป  และไว้วางใจในพระสัญญาทั้งหลายของพระองค์เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอด  ทุกวันนี้ก็ยังมีคนที่สอนความคิดของตัวเองแทนที่จะสอนพระวจนะของพระเจ้า  ผู้คนถูกสอนว่าถ้าพวกเขาประพฤติตามกฎระเบียบเหล่านี้และกระทำสิ่งต่างๆ ที่คนเหล่านี้สอนไว้แล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะได้รับการยอมรับจากพระเจ้า แต่พระเจ้าตรัสว่าคำสั่งสอนอย่างนั้นเปล่าประโยชน์  คนเหล่านี้กล่าวว่าพวกเขาประพฤติตามและนมัสการพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  

ผู้ที่วางใจในการถือรักษากฎระเบียบทั้งหลายก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้าอย่างแน่นอน

พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสียังเน้นเกี่ยวกับการที่จะไม่รับประทานอาหารบางอย่างด้วย  เขาทั้งหลายคิดว่าการกระทำเช่นนี้จะช่วยให้พวกเขาได้รับการยอมรับจากพระเจ้า    พระเยซูทรงชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่สิ่งที่เรารับประทานเข้าไปที่ทำให้เราไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า  แต่เป็นเพราะความบาปทั้งหลายที่พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นในใจของเราต่างหากที่ทำให้เราไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า

ลูกา 18:9-14  สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรมและได้ดูถูกคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่า “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสี และคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี  คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตนอธิษฐานว่า  ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์  ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นซึ่งเป็นคนฉ้อโกง คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้  ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย’  ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรมยิ่งกว่าอีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น”

คำอุปมาเป็นเรื่องราวที่สอนเราให้ทราบเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า  และความสัมพันธ์ที่เรามีต่อพระองค์   คนฟาริสีคนนี้ได้ขึ้นไปยังพระวิหารเพื่อจะอธิษฐาน  เขาเป็นคนที่เย่อหยิ่งและไว้วางใจในความดีของตัวเองและสิ่งต่างๆ ที่เขาได้กระทำลงไป เขาคิดว่าตัวเขาดีพอแล้วที่พระเจ้าจะทรงยอมรับเขาเนื่องจากสิ่งต่างๆ ที่เขาได้กระทำ   คนฟาริสีก็เป็นเหมือนกับคาอินที่มาหาพระเจ้าตามวิธีการของตนเอง  พระเจ้าทรงปฏิเสธคาอินมาแล้วฉันใด พระองค์ก็ทรงปฏิเสธคนฟาริสีคนนี้ฉันนั้น

คนฟาริสีคนนี้ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์ในปัจจุบันที่พึ่งพาการทำดีของตนเองเพื่อจะช่วยเขาให้รอด  ทุกวันนี้คนเป็นอันมากอาจจะคิดว่าพวกเขาจะได้ไปสวรรค์เนื่องจากสิ่งที่เขากระทำ เช่น การดำเนินชีวิตที่ดี การอธิษฐาน การไปโบสถ์ การรับบัพติศมา การไม่ดื่มเหล้า การไม่สูบบุหรี่ และการไม่พูดโกหกหรือลักขโมย   พระเจ้าตรัสว่าทุกคนได้กระทำบาปและไม่มีอะไรเลยที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะสามารถกระทำด้วยความพยายามของตนเองเพื่อจะนำเขาให้กลับไปถึงพระเจ้าได้อีก

พวกเก็บภาษี คือผู้ที่รวบรวมเงินภาษีจากราษฎรชาวยิวเพื่อนำไปมอบแก่รัฐบาลโรมัน  คนเหล่านี้เป็นที่เกลียดชังของคนชาติเดียวกัน  คนเก็บภาษีคนนี้ไม่ได้พยายามที่จะซ่อนความบาปของตนเองไว้จากพระเจ้า   เขามองตัวเองเหมือนที่พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาได้อย่างชัดเจน   เขาเห็นด้วยกับพระเจ้าเกี่ยวกับสภาพที่เต็มไปด้วยความบาปของเขา   เขารู้ว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้ส่งพระผู้ช่วยให้รอดให้เสด็จเข้ามาในโลก  เขาก็คงจะต้องใช้เวลาเป็นนิรันดร์ที่จะถูกลงโทษจากพระเจ้าสำหรับความบาปทั้งหลายของเขา  อย่างไรก็ตามเขาได้ไว้วางใจในพระผู้ช่วยให้รอดให้ทรงเป็นพระผู้ช่วยของเขา  พระเจ้าจึงทรงมี พระเมตตาต่อคนเก็บภาษีนี้ ทรงให้อภัยเขาและทรงยอมรับเขา  ชายผู้นี้ก็เหมือนกับอาแบลที่เห็นด้วยกับพระเจ้าและไว้วางใจให้พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา

คนฟาริสีไม่ยอมรับว่าเขาเป็นคนบาปที่ได้กระทำความผิดและไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้และเป็นคนบาปที่ต้องการพระเมตตาจากพระเจ้า ดังนั้นความผิดบาปทั้งหลายของเขาจึงไม่ได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้า  พระเจ้าทรงปฏิเสธเขาเหมือนที่พระองค์ได้ทรงปฏิเสธคาอินที่กบฏขัดขืนและไม่เชื่อพระเจ้า

มาระโก 8:31  พระองค์จึงทรงเริ่มกล่าวสอนสาวกว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ  พวกผู้ใหญ่ พวกปุโรหิตใหญ่ และพวกธรรมาจารย์จะปฏิเสธพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่

พระเยซูทรงชี้ให้ประชาชนเห็นอย่างชัดเจนว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  คือพระผู้ช่วยให้รอดที่

พระเจ้าได้ทรงสัญญามาตั้งแต่ต้นแล้ว  พระองค์ทรงสำแดงแก่พวกเขาโดยการกระทำการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่หลายประการ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เชื่อพระองค์   พระเยซูทรงทราบแล้วว่าพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์   พระองค์ทรงทราบว่าซาตานจะใช้ผู้นำของพวกยิวเพื่อจะฆ่าพระองค์  พระเยซูยังทรงทราบว่าถึงแม้พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ แต่พระองค์ก็จะเสด็จออกมาจากอุโมงค์ฝังศพหลังจากที่ผ่านไป 3 วัน 3 คืนแล้ว  พระเยซูทรงทราบเหตุการณ์เหล่านี้เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า

หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ บรรดาผู้เผยพระวจนะได้พยากรณ์ถึงรายละ          เอียดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระเยซู   สิ่งเหล่านี้จะรวมถึงเหตุ    การณ์ที่พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ  พระองค์จะถูกปฏิเสธโดยผู้นำทั้งหลายของพวกยิว  พระองค์จะต้องถูกประหาร  และพระองค์จะทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายด้วย

 มาระโก 9:2-4  ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา และฉลองพระองค์ก็ส่องประกายขาวดุจหิมะ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้  แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้นและเฝ้าสนทนากับพระเยซู

พระเยซูทรงมีร่างกายอย่างมนุษย์เช่นเดียวกับเราทั้งหลาย  พระองค์ทรงเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง   แต่พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าด้วย   นี่เป็นเวลาเดียวขณะที่พระเยซูยังทรงอยู่บนแผ่นดินโลกซึ่ง“พระลักษณะของพระเจ้า”ในพระเยซูได้สำแดงผ่านพระกายมนุษย์ของพระองค์   ตามปกติพระกายของพระองค์จะซ่อน “พระลักษณะของพระเจ้า”เอาไว้ ดังนั้นพระองค์จึงดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป  โมเสสกับเอลียาห์ได้เริ่มสนทนากับพระเยซู  เอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะ   ที่มีชีวิตอยู่ 850 ปีก่อนที่พระเยซูจะเสด็จเข้ามาในโลก  เราทราบว่าโมเสสได้ตายไปประมาณ 1,400 ปีก่อนที่พระเยซูจะเสด็จเข้ามาในโลก พวกเขาได้อยู่กับ พระเจ้าในสวรรค์มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

พระเจ้าทรงยอมรับคนทั้งสองเช่นเดียวกับที่ทรงยอมรับอาแบล อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และคนอื่นๆ  ทุกคนที่เห็นด้วยกับพระเจ้าว่าเขาเองเป็นคนบาปที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้และไว้วางใจในพระเจ้าว่าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาให้  ขณะนั้นพระเจ้าทรงอนุญาตให้เอลียาห์และโมเสสกลับเข้ามาในโลกเพื่อจะสนทนากับพระเยซู   สวรรค์เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงและเป็นที่ประทับของพระเจ้า   ทุกคนที่เห็นด้วยกับ

พระเจ้าและไว้วางใจพระเยซูซึ่งทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เมื่อคนผู้นั้นตายไปแล้ว  เอลียาห์กับโมเสสยังทราบว่าพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงสัญญาไว้นั้นจะต้องสิ้นพระชนม์   พวกเขาทราบเกี่ยวกับพระสัญญาทั้งหลายของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระผู้ช่วยให้รอดและกำลังสนทนากับพระเยซูเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ใกล้จะมาถึงนั้น

คำถามบทที่ 19

1. ทำไมพวกฟาริสีจึงไม่ชอบพวกสาวกของพระเยซูคริสต์

ก) พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นคนบาป

ข) พวกเขาต่อเติมพระวจนะของพระเจ้า

ค) พวกเขาไม่ปฎิบัติตามกฏของพวกฟาริสี

2. การเพิ่มเติมกฏต่างๆ และความคิดของตนเองลงไปใน
    พระคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่  

ก) ถูก

ข) ไม่ถูก

3. อาหารที่เรากิน เสื้อผ้าที่เรานุ่งห่มเป็นสิ่งที่ทำให้พระเจ้าทรง
    ยอมรับเราใช่หรือไม่

ก) ใช่

ข) ไม่ใช่

4. ทำไมพระเจ้าทรงยอมรับคนเก็บภาษี

ก) เพราะเขาเชื่อในพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรง
      สัญญาว่าจะทรงส่งมา

ข) เพราะเขาเป็นคนดี

ค) เพราะเขาทำบุญ

ง) เพราะเขาเชื่อในตัวของเขาเอง

5. ทำไมพระเจ้าทรงไม่ยอมรับพวกฟาริสี

ก) เพราะเขาเชื่อในพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรง
      สัญญาว่าจะทรงส่งมา

ข) เพราะเขาเป็นคนเลว

ค) เพราะเขาไม่ทำบุญ

ง) เพราะเขาเชื่อในตัวของเขาเอง