ถ้าหากนักศึกษาคนใดๆอยากได้รับใบประกาศเณียบัตรจากสหรัฐฯ เขาต้องส่งคำตอบมาถึงเราและถ้าผ่านเราก็จะส่งใบประกาศเณียบัตรไปให้เขา ขอส่งคำตอบมายังที่: biblestudythailand@gmail.com หรือ Facebook: www.facebook.com/ThaiBibleStudy หรือ Line ID: natwill78
เรียนพระคัมภีร์จากยุคสร้างโลกถึงชีวิตพระเยซูคริสต์
บทที่ 7 – อับราฮัม
ตลอดระยะเวลาหลายชั่วอายุคนนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่หอบาเบลได้ผ่านพ้นไปแล้วนั้น พระเจ้าไม่เคยลืมพระสัญญาของพระองค์ที่จะส่ง “พระผู้ช่วยให้รอด”ให้เสด็จมาเลย แต่มีคนจำนวนเพียงเล็กน้อยในแต่ละชั่วอายุคนเท่านั้นที่เชื่อว่า
พระเจ้าจะส่ง“พระผู้ช่วยให้รอด”มาให้ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ อับราม ซึ่งมีชีวิตอยู่ประมาณ 4,000 ปีก่อน ต่อมาเขาได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อับราฮัม ดังที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่าโนอาห์มีบุตรชาย 3 คน ชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท ส่วนอับรามนั้นเป็นเชื้อสายของเชม อับรามเติบโตขึ้นในเมืองเออร์ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัก อับรามได้แต่งงานกับนางซาราย แต่ในขณะนั้นทั้งคู่ยังไม่มีบุตรด้วยกัน
ปฐมกาล 12:1 พระเยโฮวาห์ได้ตรัสแก่อับรามแล้วว่า“เจ้าจงออกไปจากประเทศของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้าและจากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้เจ้าเห็น ....”
พระเจ้ากำลังจะเริ่มดำเนินการตามแผนการของพระองค์ที่จะประกาศให้ประชาชาติต่าง ๆ ได้ทราบเกี่ยวกับ“พระผู้ช่วยให้รอด”ที่จะเสด็จมานั้น พระเจ้าทรงเลือกอับรามเพราะพระองค์ทรงทราบว่าอับรามจะฟัง เชื่อและเชื่อฟังพระองค์ แผนการของพระเจ้าก็คือ ให้อับรามเดินทางออกจากครอบครัวและประเทศของเขา นี่เป็นขั้นตอนที่ยิ่งใหญ่มาก อับรามไม่สามารถจะดูแผนที่ถนนหรือพูดคุยกับสำนักงานท่องเที่ยวใด ๆได้เลย เขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่าจะออกเดินทางไปไหน อับรามจะต้องไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงนำเขาในแต่ละวัน จุดหมายปลายทางที่อับรามไม่รู้จักนั้นคือ แผ่นดินคานาอันซึ่งก็คือ ประเทศอิสราเอล ในปัจจุบันนี้นั่นเอง
ปฐมกาล 12:2, 3 เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ชนชาติหนึ่ง เราจะอวยพรเจ้า ทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต และเจ้าจะเป็นแหล่งพระพร เราจะอวยพรผู้ที่อวยพรเจ้า และสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งเจ้า บรรดาครอบครัวทั่วแผ่นดินโลกจะได้รับพระพรเพราะเจ้า
ประการแรก พระเจ้าทรงสัญญาแก่อับรามว่าเชื้อสายของเขาจะกลายเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ ขณะนั้นอับรามอายุ 75 ปีแล้ว นี่เป็นข่าวอันดีเลิศที่มีมาถึงอับราม เพราะหมายความว่าเขาจะมีบุตรคนหนึ่ง ภรรยาของอับรามนั้นอายุล่วงเลยวัยที่จะมีบุตรแล้ว ดังนั้นอับรามจึงรู้สึกประหลาดใจว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พระเจ้าทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น สิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงสัญญา พระองค์ก็สามารถที่จะกระทำได้ และพระองค์จะทรงกระทำตามที่ทรงสัญญาไว้อย่างแน่นอน ซึ่งเราจะมาค้นหากันในบทเรียนต่อไป
ประการที่สอง พระเจ้าตรัสว่า ชื่อของอับราม จะกลายเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่ ทุกวันนี้มีใครรู้จักชื่อของเขาบ้าง? แน่นอน! ชาวยิว ชาวมุสลิมและชาวคริสเตียนทุกคนในปัจจุบันรู้จักชื่อของเขา และผู้คนเหล่านี้เป็นตัวแทนของประชากรกว่าครึ่งโลกแล้ว แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 4,000 ปีแล้ว แต่พระเจ้าก็ยังคงรักษาพระสัญญาของพระองค์ที่มีต่ออับรามว่า ชื่อของเขา จะเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่
ประการที่สาม พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอวยพระพรอับรามและคุ้มครองเขาด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ อับรามจะกลายเป็นบุคคลสำคัญซึ่งจะทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ และความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะบันดาลให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้ที่ช่วยเหลืออับราม และจะนำความเลวร้ายมาสู่ผู้หนึ่งผู้ใดที่ปฏิบัติต่อ อับรามอย่างไม่เป็นธรรมด้วย
ประการที่สี่ พระเจ้าทรงทำสัญญาที่สำคัญอย่างหนึ่งต่ออับรามเกี่ยวกับ“พระผู้ช่วยให้รอด”ที่จะเสด็จมานั้น คือพระสัญญาที่ว่า “บรรดาครอบครัวทั่วแผ่นดินโลกจะได้รับพระพรเพราะเจ้า” พระสัญญาข้อนี้รวมไปถึงครอบครัวของคุณและครอบครัวของข้าพเจ้าด้วย นี่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อ
อับรามตายไปเป็นเวลา 4,000 ปีมาแล้ว พระสัญญานี้จะมีผลต่อมนุษย์เราในปัจจุบันได้อย่างไร? คุณจำได้ไหมว่าพระเจ้าทรงสัญญาแก่อาดัมและเอวาในสวนเอเดนว่าจะส่ง“พระผู้ช่วยให้รอด”องค์หนึ่งมาให้แก่มนุษยชาติทั้งปวง? นั่นแหละ
พระเจ้าทรงสัญญาแก่อับรามว่า เชื้อสายคนหนึ่งของเขาจะเป็น“พระผู้ช่วยให้รอด”พระองค์นั้นนั่นเอง ซึ่งจะเป็น“พระผู้ช่วยให้รอด”ที่จะทรงช่วยบรรดาครอบครัวทั้งสิ้นทั่วแผ่นดินโลกโดยการเอาชนะซาตานเพื่อมนุษย์ทั้งหลาย
ปฐมกาล 12:4-5 ดังนั้น
อับรามจึงออกไปตามที่
พระเยโฮวาห์ได้ตรัสแก่ท่าน และโลทก็ไปกับท่าน อับรามมีอายุได้เจ็ดสิบห้าปีขณะเมื่อท่านออกจากเมืองฮาราน อับรามพานางซารายภรรยาของท่าน โลทบุตรชายของน้องชายท่าน บรรดาทรัพย์สิ่งของของพวกเขาที่ได้สะสมไว้ และผู้คนทั้งหลายที่ได้ไว้ที่เมือง ฮาราน พวกเขาออกไปเพื่อเข้าไปยังแผ่นดินคานาอัน และพวกเขาไปถึงแผ่นดินคานาอัน
อับรามได้เชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงนำอับรามไปยังแผ่นดินคานาอัน ซึ่งก็คือ ประเทศอิสราเอล ในปัจจุบันนี้นั่นเอง
ปฐมกาล 12:7 พระเยโฮวาห์ทรงปรากฏแก่อับรามและตรัสว่า “เราจะให้แผ่นดินนี้แก่เชื้อสายของเจ้า” อับรามจึงสร้างแท่นบูชาที่นั่นถวายแด่พระเยโฮวาห์ ผู้ทรงปรากฏแก่ท่าน
พระเจ้าทรงสัญญาต่ออับรามว่า พระองค์จะทรงประทานแผ่นดินคานาอันแก่เชื้อสายของ อับราม อับรามจึงสร้างแท่นบูชาจำเพาะพระเยโฮวาห์เพื่อแสดงออกถึงการสำนึกในพระคุณ และเพื่อตอบสนองต่อพระสัญญาดังกล่าว
อับรามรู้จักวิธีการที่ถูกต้องที่จะเข้าถึงพระเจ้าและได้รับการยอมรับจากพระองค์ อับรามถวายเครื่องบูชาด้วยเลือดบนแท่นบูชาตามอย่างที่พระเจ้าได้สำแดงแก่อาดัมและเอวา เครื่องบูชาของอับรามเป็นหลักฐานได้อย่างชัดเจนว่าอับรามตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องมีตัวแทน มาชดใช้โทษแห่งความตายสำหรับตนเอง อับรามเชื่อพระเจ้าเหมือนที่อาดัม อาเบล และโนอาห์ ได้เชื่อมาแล้ว แต่ประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเออร์กราบไหว้บูชารูปเคารพ คนเหล่านี้ไม่ได้ไว้วางใจ ไม่ได้รัก และไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้า แม้แต่เทราห์บิดาของอับรามก็เป็นผู้ที่บูชารูปเคารพด้วย
บรรพบุรุษของเราจงใจที่จะหันเสียจากพระเจ้า คนเหล่านี้ได้บูชาสิ่งต่าง ๆที่มนุษย์สร้างขึ้นแทนที่จะนมัสการ
พระเจ้า แม้ว่ามนุษย์จะเต็มไปด้วยการไม่เชื่อฟังในทุก ๆเรื่อง แต่ พระเจ้าก็ไม่ละทิ้งแผนการของพระองค์ที่จะช่วยกู้มนุษยชาติให้รอดพ้นจากอำนาจของซาตานและการลงโทษ
นิรันดร์นั้น การที่พระเจ้าทรงนำอับรามออกมาจากประเทศของเขาเป็นขั้นตอนต่อไปสำหรับแผนการของพระองค์ที่จะนำพามนุษยชาติให้รอดพ้นจากมารซาตานและความตาย
คืนวันหนึ่ง พระเจ้าทรงนำอับรามออกจากประตูเต็นท์พักอาศัยของเขา และได้ตรัสให้อับรามมองขึ้นไปและลองดูว่าเขาสามารถจะนับดวงดาวบนท้องฟ้าได้หรือไม่ พระเจ้าทรงสัญญาแก่อับรามก่อนที่เขาจะมีบุตรด้วยซ้ำว่า พงศ์พันธุ์ของอับรามจะมีมากมายดุจดวงดาวบนท้องฟ้า
ปฐมกาล 15:5,6 พระองค์จึงนำท่านออกมากลางแจ้งและตรัสว่า“จงมองดูฟ้าและนับดวงดาวทั้งหลายถ้าเจ้าสามารถนับมันได้” และพระองค์ตรัสแก่ท่านว่า“เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น” ท่านเชื่อในพระเยโฮวาห์ และพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน
คำ 3 คำในประโยคสุดท้ายเป็นคำที่เต็มไปด้วยความหมาย คำว่า ความชอบธรรม เป็นคำที่อ้างอิงถึงความสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างของพระเจ้า พระเจ้าทรงปราศจากตำหนิ ทรงเป็นที่เคารพสักการะ และทรงบริสุทธิ์ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ดังนั้นจึงไม่มีใครชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับมนุษยชาติทุกคน ไม่มีใครสามารถจะอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ได้นอกจากเขาจะเป็นคนที่ชอบธรรมเท่านั้น แล้วคนหนึ่งคนใดจะสามารถเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้าได้อย่างไร? พระคัมภีร์ข้อนี้ยังบอกเราด้วยว่าเราสามารถจะเป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร
คำว่า นับว่า หมายถึงการนำไปลงไว้ในบัญชี เมื่อคนหนึ่งคนใดฝากเงินของเขาไว้ในธนาคาร ๆก็จะนำเงินนั้นไปลงไว้ในบัญชีของเขา ดังนั้นเมื่ออับราม“ฝาก”ความเชื่อของเขาไว้ในพระเจ้า ๆก็ทรงนำความเชื่อของเขา“ไปลงบัญชี”เป็นความชอบธรรม นี่หมายความว่าเมื่ออับรามเชื่อพระเจ้า ๆก็ทรงถือว่าอับรามเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าทรงปกคลุมอาดัมและเอวาด้วยหนังสัตว์มาแล้วฉันใด พระองค์ก็ทรงปกคลุมอับรามด้วยความชอบธรรมของพระองค์เองฉันนั้น
คำที่สามคือคำว่า เชื่อ บ่อยครั้งทีเดียวที่คำว่า ความเชื่อ ความเชื่อถือ และความไว้วางใจสามารถนำมาใช้แทนกันได้ ความเชื่อที่แท้จริงนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่ใช่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกใดๆ เมื่อคุณนั่งบนเก้าอี้ คุณก็ไว้วางใจว่าเก้าอี้ตัวนั้นสามารถจะรับน้ำหนักของคุณได้ นั่นคือคุณได้สังเกตแล้วว่าเก้าอี้มั่นคงแข็งแรงดี ดังนั้นคุณจึงนั่งพักบนเก้าอี้ตัวนั้นโดยให้เก้าอี้รับน้ำหนักของคุณไว้อย่างเต็มที่ อับรามวางความเชื่อของเขาไว้บนข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งที่ พระเจ้าทรงสัญญาไว้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พระเจ้าตรัสว่า“เจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” พระเจ้าไม่สามารถจะตรัสคำโกหกได้ และพระองค์ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น
อับรามจะมีบุตรชายคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ความเชื่อสามารถจะแสดงให้เห็นภาพได้ดังต่อไปนี้ มีเพื่อน 2 คนกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับการปีนเขา เพื่อนคนหนึ่งถามเพื่อนอีกคนหนึ่งว่า“นายเชื่อไหมว่าเชือกจะดึงตัวนายไว้ไม่ให้ตกลงไปสู่เบื้องล่าง” เพื่อนอีกคนหนึ่งก็ตอบว่า“ฉันเชื่ออย่างนั้นแน่นอน!” เพื่อนคนแรกจึงบอกว่า“เอาล่ะ ให้เราไปปีนเขากันเถอะ!” ถ้าเพื่อนคนที่สองรู้สึกลังเลและเริ่มจะหาข้อแก้ตัวที่จะไม่ไปร่วมสนุกด้วยกัน นี่ย่อมเป็นที่น่าสงสัยว่าเขาเชื่ออย่างนั้นจริงหรือเปล่า ถึงแม้ว่าเขาจะกล่าวยืนยันเช่นนั้นด้วยปากของเขา แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขายังคงมีความสงสัยเคลือบแฝงอยู่ในใจของเขา ความเชื่อมีผลต่อการกระทำของเรา ความเชื่อของอับรามก็มากเกินกว่าการแค่เพียงกล่าวยืนยันด้วยปากเท่านั้น อับรามยอมเอาชีวิต ชื่อเสียงและการกระทำเข้าไปเสี่ยงกับการตัดสินใจของเขา อับรามได้กระทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เขากระทำเพราะอับรามเชื่อพระเจ้า
เมื่อพระเจ้าทรงทอดพระเนตรดูอับราม พระองค์ไม่ได้เห็นคนที่ชั่วร้ายและไม่เชื่อฟัง อับรามก็ไม่ได้สมบูรณ์พร้อมทุกประการ แต่เพราะว่าเขาเชื่อพระเจ้า ๆจึงทรงถือว่าเขาเป็นคนชอบธรรม ผู้หนึ่งผู้ใดจะสามารถได้รับความชอบธรรมที่เท่าเทียมกับพระเจ้าได้อย่างไร? อับรามพบว่าคำตอบนั้นง่ายจริง ๆ นั่นคือ อับรามเชื่อพระเจ้า
พระเจ้าทรงบันทึกพฤติกรรมของการไม่เชื่อฟังทุกอย่าง ที่คนหนึ่งคนใดได้กระทำในชีวิตของเขาและฝากไว้ใน“บัญชี”ส่วนตัวของเขา พระเจ้าทรงเป็นผู้ชอบธรรม ดังนั้นหากบุคคลใดปรารถนาที่จะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์ บุคคลผู้นั้นก็จำเป็นที่จะต้องมีความชอบธรรมของพระเจ้า ปัญหาก็คือมนุษย์ทุกคนมีพฤติกรรมของการไม่เชื่อฟังมากมายบันทึกไว้ในบัญชีของเขา แต่เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งเชื่อพระเจ้าพระองค์ก็จะทรงนำความชอบธรรมของพระองค์“ไปลงไว้ใน”บัญชีของผู้นั้น บัดนี้พระเจ้าไม่ได้เห็นการไม่เชื่อฟังถูกบันทึกไว้อีกต่อไป แต่กลับทรงเห็นแต่เพียงความชอบธรรมของพระองค์เองเท่านั้น ในมุมมองของพระเจ้าก็ดูเหมือนว่าบุคคลผู้นั้น ไม่เคยกระทำพฤติกรรมของการไม่เชื่อฟังแม้สักครั้งเดียวเลย ดังนั้นบุคคลผู้นั้นจึงได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เป็นนิตย์ นิรันดร์ตลอดไป
ปฐมกาล 17:5, 15 ชื่อของเจ้าจะไม่เรียกว่า อับราม อีกต่อไป แต่เจ้าจะมีชื่อว่า อับราฮัม เพราะเราจะกระทำให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ..และพระเจ้าตรัสแก่อับราฮัมว่า “สำหรับซารายภรรยาของเจ้า เจ้าจะไม่เรียกชื่อนางว่า ซาราย แต่จะเรียกชื่อนางว่า ซาราห์ .... ”
พระเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อของเขาเป็น อับราฮัม เพราะพระองค์ได้ทรงสัญญาว่าเขาจะเป็นบิดาของพงศ์พันธุ์ต่าง ๆเป็นอันมาก นอกจากนี้พระเจ้ายังทรงเปลี่ยนชื่อของนางซารายเป็นซาราห์ ซึ่งหมายถึง“มารดาของบรรดาประชาชาติทั้งหลาย” การที่อับราฮัมกับนางซาราห์จะมีบุตรชายคนหนึ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย อับราฮัมคงจะอายุสัก 100 ปีขณะที่นางซาราห์ก็คงจะมีอายุ 90 ปีเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามพระสัญญาดังกล่าวไม่ได้พึ่งพาอาศัยสภาวะอันอ่อนแอของมนุษย์ แต่เป็นพระเจ้าเองที่ทรงกระทำพระสัญญานี้และพระองค์ทรงมีฤทธานุภาพสูงสุด
คำถามบทที่ 7
1. พระเจ้าบอกให้อับรามทำอะไร
ก) สร้างวัด
ข) ทิ้งประเทศของเขาแล้วย้ายไปยังเมืองคานาอัน
ค) พระพฤติตัวให้เป็นคนดีขึ้น
2. ก่อนที่อับรามจะออกจากเมืองของตน เขามีลูกทั้งหมดกี่คน
ก) 0
ข) 1
ค) 2
ง) 3
3. อับรามเชื่อฟังพระเจ้าเหมือนอย่างอาแบลและโนอาห์. หรือไม่
ก) เชื่อ
ข)ไม่เชื่อ
4. ทำไมอับราฮัมและซาราห์จึงมีลูกไม่ได้ เว้นแต่ว่าพระเจ้าจะ ทรงทำสิ่งอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นแก่เขา
ก) เพราะพวกเขามีกรรม
ข) เพราะเขาทั้งสองเป็นคนไม่ดี
ค) เพราะเขาทั้งสองอายุมากแล้วและซาราห์ก็ผ่านช่วง อายุที่จะตั้งครรภ์